ดอกไม้ และกำลังใจ:พฤติกรรมอัปยศ
ดอกไม้ และกำลังใจ:พฤติกรรมอัปยศในสังคมการเมืองไทย
โดย วิชัย บำรุงฤทธิ์
การ มอบดอกไม้และให้กำลังใจ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรนายกรัฐมนตรี เป็นพฤติกรรมที่เห็นและเป็นอยู่อย่างดาษดื่นในขณะนี้
สิ่งที่น่าสนใจตรงที่ผู้เข้ามอบดอกไม้และให้กำลังใจ ที่ปรากฏส่วนข้างมากเป็นเกษตรกร, แม่บ้านพ่อบ้านชนชั้นกลางค่อนข้างมีรายได้น้อย โดยมีข้าราชการกระทรวงต่างๆเข้าร่วมสอดแทรกประปรายหลายคนที่เห็นแทบจะกล่าวได้ว่าในชีวิตจริงของเขาเหล่านั้นแม้วัยจะล่วงเลยกลางคนมาแล้ว คงซื้อดอกกุหลาบนับครั้งได้ และก็คงไม่คุ้นเคยกับการมอบดอกกุหลาบให้กำลังใจผู้อื่นแล้วมันเกิดขึ้นได้อย่างไร?
ถ้าไม่มีแกนนำประสานงานเป็นต้นคิด แล้วมันจะเกิดวันเช่นนี้ได้อย่างไร? ถ้าไม่มีใครเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้คนเหล่านี้เดินทางแล้วมันจะสะดวกง่ายดายถึงเพียงนี้เชียวหรือที่ชาวบ้านธรรมดาๆ สามารถเข้าพบผู้นำสูงสุดด้านการบริหารประเทศในทำเนียบรัฐบาล ถ้าไม่มีผู้อำนวยการเรื่องราวดังกล่าวยังไม่ทันจางหายจากวงสนทนา เสียงร้องขอไปรษณียบัตรสนับสนุนจากประชาชนจากท่านผู้นำก็ดังมาจากทำเนียบ พร้อมๆกับข่าวคราวขบวนรถอีแต๋นของเกษตรกรภาคเหนือกำลังเคลื่อนขบวนมายังท้องสนามหลวงเพื่อเป็น “กำลังใจ”ให้ท่านผู้นำนาม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็เกิดขึ้นอีกแล้วไม่น่าเชื่อว่าพฤติกรรมดังกล่าวจะเกิดขึ้นในยุคที่ไทยมีผู้นำที่ประกาศกร้าวอยู่เป็นนิจ ว่า เป็นผู้กล้า เป็นผู้ฉลาดและเป็นผู้มั่งคั่งในทรัพย์ศฤงคารที่ผู้นำการเมืองในโลกยุคนี้ไม่มีใครเทียบได้ผู้นำท่านนี้นี่แหละที่เคยประณามองค์กรเหนือรัฐอย่างสหประชาชาติว่า “ยูเอ็นไม่ใช่พ่อ”
ผู้นำท่านนี้แหละที่ใช้วาจาสามหาวด่ากราดผู้อาวุโสและนักวิชาการในสังคมไทยมามากหน้าหลายคน ที่ผู้คนวงการต่างๆจำไม่ลืมก็คือผู้นำท่านนี้นี่แหละที่ใช้วาจาหมิ่นเหม่จาบจ้วงพระเกจิ อาจารย์แห่งภาคอีสานและผู้นำท่านนี้อีกนั่นแหละที่ใช้วาจาหมิ่นเหม่หลายครั้งหลายหนเมื่อเอ่ยถึงองค์พระประมุขของชาติทั้งๆ ที่เห็นและเป็นอยู่ท่านผู้นำก็กินดี อยู่ดี ไปไหนมาไหนมีบริวารล้อมหน้าล้อมหลังเสริมบารมีเป็นปรกติ แถมยังแสดงคารมโจมตีคู่แข่งได้เสมอต้นเสมอปลาย ยังตัดสินใจ “ยุบสภา”โดยไม่แยแสคำทักท้วงอย่างมีเหตุมีผลของสมาชิกรัฐสภาแล้ววันนี้เกิดอะไรขึ้นหรือ?จึงอ่อนแอ จนต้องการกำลังใจจากมวลชนอันไพศาลท่านผู้นำไม่ได้เจ็บไข้ได้ป่วยแม้แต่น้อย...แล้วกำลังใจมันหายไปไหน? จึงโหยหิวกำลังใจเสียเหลือเกินถ้าไม่ใช่เล่ห์เหลี่ยมและมารยาที่หวังผลทางการเมืองชี้นำความคิด
ท่านผู้นำจะกล้าลงแรงสร้างภาพเช่นว่าละหรือ?ขบวนรถอีแต๋นของเกษตรกรจากภาคเหนือแลดูคึกคักมีชีวิตชีวาเพราะวาดหวังว่าจะมีชีวิตดีขึ้นบ้างหากได้ไปประกอบส่วน “ให้กำลังใจ”ท่านผู้นำกับเขาในครั้งนี้สมาชิก อบต.จากภาคอีสานหัวใจระทึกและหวั่นวิตกว่าถ้าไม่ร่วมครั้งนี้ “กองทุนหมู่บ้าน”จะถูกตัดผู้ยากไร้จากภาคเหนือ ใต้ ออก ตก ต่างเดินทางมายังกรุงเทพมหานครด้วยความหวังว่าชีวิตคงจะดีขึ้นบ้าง และหากพลาดสิ่งที่หวังไว้ การได้มาเที่ยวกรุงเทพฟรีๆก็พอจะเป็นคำปลอบประโลมใจที่พอสมเหตุสมผลไม่ให้ชีวิตต้องขมขื่นไปมากกว่านี้ใครกันแน่ที่ควรได้รับกำลังใจ ระหว่าง“ผู้นำ” กับ “เกษตรกรผู้ยากไร้” ระหว่าง “ผู้นำ”กับ “ข้าราชการชั้นผู้น้อย”ฝ่ายหนึ่งมีทรัพย์ศฤงคารที่เสพสุขตายแล้วเกิดใหม่หลายสิบชาติก็ใช้ไม่หมด กับอีกฝ่ายหนึ่งต้องอาบเหงื่อต่างน้ำสร้างผลผลิตในไร่นาที่ต้องเผชิญกับความผันผวนของราคาผลผลิตปีแล้วปีเล่าฝ่ายหนึ่งมีอำนาจราชศักดิ์กินอิ่มนอนอุ่นมีทุนมหาศาลกับอีกฝ่ายที่เป็นข้าราชการชั้นผู้น้อยที่มีรายได้ชักหน้าไม่ถึงหลังมีความหวังอยู่กับการเสี่ยงโชคที่ท่านผู้นำเป็นผู้กำหนดชะตากรรมใครกันแน่ที่ควรได้รับกำลังใจ?
ใครกันแน่ที่ควรได้รับการฟื้นฟูชีวิตให้ดีขึ้น ?แน่นอนที่สุดเกษตรกรผู้ยากไร้และ ข้าราชการชั้นผู้น้อยเป็นกลุ่มเป้าหมายระดับต้นๆที่ไม่ควรละเลยแต่ที่เห็นและเป็นอยู่เกษตรกรผู้ยากไร้และข้าราชการชั้นผู้น้อยนับหมื่นนับแสนกลับทำหน้าที่ให้กำลังใจผู้นำของหลายครั้งหลายครานับว่าเป็นกิจกรรมที่แปลกประหลาดในสังคมไทยในยุคนี้นี่คือความโหดเหี้ยมของ “นักธุรกิจการเมือง”ที่แสร้งแสดงตัวเป็นเสือเซื่องๆ ก่อนที่จะตะปบเหยื่ออันโอชะนี่คือเล่ห์เหลี่ยมกลโกงในการเข้าหามวลชนของ “นักธุรกิจการเมือง” ที่ใช้เงินโปรยทางเพื่อสร้างภาพจัดฉากไปสู่อำนาจดอกไม้และกำลังใจที่เห็นและเป็นอยู่ระหว่าง “ผู้นำ”กับ “เกษตรผู้ยากไร้”จะเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากพฤติกรรมอันอัปยศของสังคมการเมืองไทยที่ฉาบคลุมด้วย “มายาภาพ”มากกว่าการแก้ไขปัญหาอย่างเอาจริงเอาจังหากท่านอ่อนแอ, เมื่อยล้าและ ไร้กำลังใจจนต้องโหยหาเรียกร้องกำลังใจจากประชาชนอย่างที่ประพฤติปฏิบัติอยู่ จง “ลาออก” ตามคำเรียกร้องของประชาชน, นักวิชาการ ตลอดจน นักเรียน นิสิต นักศึกษาหลายสถาบันที่ร้องขอให้ท่านปฏิบัติตั้งแต่วันนี้เถิด.นอกจากช่วยลดปัญหาความเครียดของคนในชาติแล้วยังช่วยขจัดพฤติกรรมอัปยศในสังคมการเมืองไทยได้อีกด้วย
โดย วิชัย บำรุงฤทธิ์
การ มอบดอกไม้และให้กำลังใจ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรนายกรัฐมนตรี เป็นพฤติกรรมที่เห็นและเป็นอยู่อย่างดาษดื่นในขณะนี้
สิ่งที่น่าสนใจตรงที่ผู้เข้ามอบดอกไม้และให้กำลังใจ ที่ปรากฏส่วนข้างมากเป็นเกษตรกร, แม่บ้านพ่อบ้านชนชั้นกลางค่อนข้างมีรายได้น้อย โดยมีข้าราชการกระทรวงต่างๆเข้าร่วมสอดแทรกประปรายหลายคนที่เห็นแทบจะกล่าวได้ว่าในชีวิตจริงของเขาเหล่านั้นแม้วัยจะล่วงเลยกลางคนมาแล้ว คงซื้อดอกกุหลาบนับครั้งได้ และก็คงไม่คุ้นเคยกับการมอบดอกกุหลาบให้กำลังใจผู้อื่นแล้วมันเกิดขึ้นได้อย่างไร?
ถ้าไม่มีแกนนำประสานงานเป็นต้นคิด แล้วมันจะเกิดวันเช่นนี้ได้อย่างไร? ถ้าไม่มีใครเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้คนเหล่านี้เดินทางแล้วมันจะสะดวกง่ายดายถึงเพียงนี้เชียวหรือที่ชาวบ้านธรรมดาๆ สามารถเข้าพบผู้นำสูงสุดด้านการบริหารประเทศในทำเนียบรัฐบาล ถ้าไม่มีผู้อำนวยการเรื่องราวดังกล่าวยังไม่ทันจางหายจากวงสนทนา เสียงร้องขอไปรษณียบัตรสนับสนุนจากประชาชนจากท่านผู้นำก็ดังมาจากทำเนียบ พร้อมๆกับข่าวคราวขบวนรถอีแต๋นของเกษตรกรภาคเหนือกำลังเคลื่อนขบวนมายังท้องสนามหลวงเพื่อเป็น “กำลังใจ”ให้ท่านผู้นำนาม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็เกิดขึ้นอีกแล้วไม่น่าเชื่อว่าพฤติกรรมดังกล่าวจะเกิดขึ้นในยุคที่ไทยมีผู้นำที่ประกาศกร้าวอยู่เป็นนิจ ว่า เป็นผู้กล้า เป็นผู้ฉลาดและเป็นผู้มั่งคั่งในทรัพย์ศฤงคารที่ผู้นำการเมืองในโลกยุคนี้ไม่มีใครเทียบได้ผู้นำท่านนี้นี่แหละที่เคยประณามองค์กรเหนือรัฐอย่างสหประชาชาติว่า “ยูเอ็นไม่ใช่พ่อ”
ผู้นำท่านนี้แหละที่ใช้วาจาสามหาวด่ากราดผู้อาวุโสและนักวิชาการในสังคมไทยมามากหน้าหลายคน ที่ผู้คนวงการต่างๆจำไม่ลืมก็คือผู้นำท่านนี้นี่แหละที่ใช้วาจาหมิ่นเหม่จาบจ้วงพระเกจิ อาจารย์แห่งภาคอีสานและผู้นำท่านนี้อีกนั่นแหละที่ใช้วาจาหมิ่นเหม่หลายครั้งหลายหนเมื่อเอ่ยถึงองค์พระประมุขของชาติทั้งๆ ที่เห็นและเป็นอยู่ท่านผู้นำก็กินดี อยู่ดี ไปไหนมาไหนมีบริวารล้อมหน้าล้อมหลังเสริมบารมีเป็นปรกติ แถมยังแสดงคารมโจมตีคู่แข่งได้เสมอต้นเสมอปลาย ยังตัดสินใจ “ยุบสภา”โดยไม่แยแสคำทักท้วงอย่างมีเหตุมีผลของสมาชิกรัฐสภาแล้ววันนี้เกิดอะไรขึ้นหรือ?จึงอ่อนแอ จนต้องการกำลังใจจากมวลชนอันไพศาลท่านผู้นำไม่ได้เจ็บไข้ได้ป่วยแม้แต่น้อย...แล้วกำลังใจมันหายไปไหน? จึงโหยหิวกำลังใจเสียเหลือเกินถ้าไม่ใช่เล่ห์เหลี่ยมและมารยาที่หวังผลทางการเมืองชี้นำความคิด
ท่านผู้นำจะกล้าลงแรงสร้างภาพเช่นว่าละหรือ?ขบวนรถอีแต๋นของเกษตรกรจากภาคเหนือแลดูคึกคักมีชีวิตชีวาเพราะวาดหวังว่าจะมีชีวิตดีขึ้นบ้างหากได้ไปประกอบส่วน “ให้กำลังใจ”ท่านผู้นำกับเขาในครั้งนี้สมาชิก อบต.จากภาคอีสานหัวใจระทึกและหวั่นวิตกว่าถ้าไม่ร่วมครั้งนี้ “กองทุนหมู่บ้าน”จะถูกตัดผู้ยากไร้จากภาคเหนือ ใต้ ออก ตก ต่างเดินทางมายังกรุงเทพมหานครด้วยความหวังว่าชีวิตคงจะดีขึ้นบ้าง และหากพลาดสิ่งที่หวังไว้ การได้มาเที่ยวกรุงเทพฟรีๆก็พอจะเป็นคำปลอบประโลมใจที่พอสมเหตุสมผลไม่ให้ชีวิตต้องขมขื่นไปมากกว่านี้ใครกันแน่ที่ควรได้รับกำลังใจ ระหว่าง“ผู้นำ” กับ “เกษตรกรผู้ยากไร้” ระหว่าง “ผู้นำ”กับ “ข้าราชการชั้นผู้น้อย”ฝ่ายหนึ่งมีทรัพย์ศฤงคารที่เสพสุขตายแล้วเกิดใหม่หลายสิบชาติก็ใช้ไม่หมด กับอีกฝ่ายหนึ่งต้องอาบเหงื่อต่างน้ำสร้างผลผลิตในไร่นาที่ต้องเผชิญกับความผันผวนของราคาผลผลิตปีแล้วปีเล่าฝ่ายหนึ่งมีอำนาจราชศักดิ์กินอิ่มนอนอุ่นมีทุนมหาศาลกับอีกฝ่ายที่เป็นข้าราชการชั้นผู้น้อยที่มีรายได้ชักหน้าไม่ถึงหลังมีความหวังอยู่กับการเสี่ยงโชคที่ท่านผู้นำเป็นผู้กำหนดชะตากรรมใครกันแน่ที่ควรได้รับกำลังใจ?
ใครกันแน่ที่ควรได้รับการฟื้นฟูชีวิตให้ดีขึ้น ?แน่นอนที่สุดเกษตรกรผู้ยากไร้และ ข้าราชการชั้นผู้น้อยเป็นกลุ่มเป้าหมายระดับต้นๆที่ไม่ควรละเลยแต่ที่เห็นและเป็นอยู่เกษตรกรผู้ยากไร้และข้าราชการชั้นผู้น้อยนับหมื่นนับแสนกลับทำหน้าที่ให้กำลังใจผู้นำของหลายครั้งหลายครานับว่าเป็นกิจกรรมที่แปลกประหลาดในสังคมไทยในยุคนี้นี่คือความโหดเหี้ยมของ “นักธุรกิจการเมือง”ที่แสร้งแสดงตัวเป็นเสือเซื่องๆ ก่อนที่จะตะปบเหยื่ออันโอชะนี่คือเล่ห์เหลี่ยมกลโกงในการเข้าหามวลชนของ “นักธุรกิจการเมือง” ที่ใช้เงินโปรยทางเพื่อสร้างภาพจัดฉากไปสู่อำนาจดอกไม้และกำลังใจที่เห็นและเป็นอยู่ระหว่าง “ผู้นำ”กับ “เกษตรผู้ยากไร้”จะเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากพฤติกรรมอันอัปยศของสังคมการเมืองไทยที่ฉาบคลุมด้วย “มายาภาพ”มากกว่าการแก้ไขปัญหาอย่างเอาจริงเอาจังหากท่านอ่อนแอ, เมื่อยล้าและ ไร้กำลังใจจนต้องโหยหาเรียกร้องกำลังใจจากประชาชนอย่างที่ประพฤติปฏิบัติอยู่ จง “ลาออก” ตามคำเรียกร้องของประชาชน, นักวิชาการ ตลอดจน นักเรียน นิสิต นักศึกษาหลายสถาบันที่ร้องขอให้ท่านปฏิบัติตั้งแต่วันนี้เถิด.นอกจากช่วยลดปัญหาความเครียดของคนในชาติแล้วยังช่วยขจัดพฤติกรรมอัปยศในสังคมการเมืองไทยได้อีกด้วย
1 Comments:
เหมือนกับเรื่องอื่นอื่นที่เอี้ยทักสินมักเปลี่ยน วิกฤติ เป็น โอกาส
ในระหว่างเป็นนายก เอี้ยทักสินทำให้ช่องว่างระหว่างรวยกับจน กว้างชึ้นเรื่อยๆ
และเมื่อคนจน จนมากขึ้น ก็ยิ่งเกิดความพึ่งพิงกับนโยบายประชานิยมของเอี้ยทักสินมากขึ้น ก็ยิ่งหลงใหลได้ปลื้มไปกับเศษเงินของมันไปกันใหญ่ โดยหารู้ไม่ว่าที่ตัวเองจนและด้อยโอกาส ก็เพราะไอ้เอี้ยนี่แหละสูบเลือดสูบเนื้อตนไป
Posted by แกงเลียง
By Anonymous, At 3/04/2006 09:16:00 PM
Post a Comment
Subscribe to Post Comments [Atom]
<< Home