ทำไมแปรรูปแล้วค่าไฟจะแพง

บทวิเคราะห์ โดย พลังไท

แปรรูปการไฟฟ้าแล้วค่าไฟฟ้าจะแพงขึ้นหรือไม่?

ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2546 ได้มีการเปลี่ยนหลักเกณฑ์การคิดค่าไฟฟ้า จากเดิมที่อิงต้นทุน ภาระการใช้หนี้และเงินลงทุนในโครงการใหม่ มาเป็นการประกันผลตอบแทนการลงทุนให้แก่ผู้ถือหุ้น ซึ่งจากผลการศึกษาของกระทรวงพลังงานเอง การเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์การคิดค่าไฟนี้จะมีผลทำให้ค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้น4%เมื่อ เทียบกับระบบเดิม
ความเกี่ยวเนื่องระหว่างค่าไฟฟ้าที่ได้ขยับขึ้นแล้วและ การเปลี่ยนสถานภาพของการไฟฟ้าจากองค์การของรัฐ เป็นบริษัทมหาชนในตลาดหลักทรัพย์ ที่มุ่งผลประโยชน์ตอบแทนสูงสุดต่อผู้ถือหุ้นนั้น มีพัฒนาการอย่างที่ขั้นเป็นตอน ดังนี้

1. ช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2546 กระทรวงพลังงานได้ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษา Boston Consulting Group (BCG) มาศึกษาเรื่องการเตรียมการนำการไฟฟ้าเข้าตลาดหุ้น จากผลการศึกษาในส่วนของอัตราค่าไฟฟ้า มีเนื้อหาหลักที่สรุปได้ดังนี้

1) หลักเกณฑ์ที่ใช้ในการกำหนดอัตราค่าไฟฟ้า ควรเปลี่ยนมาใช้ระบบที่อิงผลตอบแทนการลงทุน (Return – based) แทนระบบเดิมที่อิงความต้องการรายได้ (Cash - based) เพื่อให้เหมือนกับบริษัทในต่างประเทศซึ่งได้ผ่านการแปรรูปแล้ว และให้เป็นที่ดึงดูดแก่นักลงทุนที่สนใจซื้อหุ้น ถึงแม้ว่าระบบใหม่จะมีข้อเสียคือ ค่าไฟฟ้าจะแพงขึ้น

2) ภายใต้ระบบที่อิงผลตอบแทน หลักเกณฑ์ที่นิยมใช้คือเกณฑ์การประกันผลตอบแทนการลงทุน (Return on Invested Capital, ROIC)


ในต่างประเทศค่าเฉลี่ยของระดับ ROIC ของบริษัทในกิจการไฟฟ้าอยู่ที่ 4.2% (ดูภาพประกอบ)

3) ถึงแม้ค่าเฉลี่ยต่างประเทศอยู่ที่ 4.2% ที่ปรึกษา BCG กลับเสนอว่า ระดับ ROIC ที่เหมาะสมสำหรับประเทศไทย คือ 9%

4) เนื่องจาก ROIC ในปัจจุบันของ 3 การไฟฟ้าต่ำกว่า 9% หากนำเกณฑ์ ROIC เท่ากับ 9% มาใช้ทันที จะทำให้ค่าไฟฟ้าขึ้นอีก 4% จากที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

2. วันที่ 9 ธันวาคม 2546 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบผลการศึกษาของ BCG ซึ่งรวมถึงการใช้ผลตอบแทนการลงทุน (ROIC) เป็นหลักในการคิดค่าไฟเพื่อรองรับการแปรรูป

3. เดือนมกราคม 2547 กฟผ. ทำการวิเคราะห์ฐานะทางการเงินขององค์กรพบว่า หากรัฐบาลไม่ขึ้นค่าไฟฟ้า ค่า ROIC ของ กฟผ. ในปี 2547 – 2551 จะอยู่ที่ระดับ 1 – 4 % (ต่ำกว่าเป้า 9% อยู่มาก ซึ่งจะทำให้ไม่ดึงดูดต่อนักลงทุน)

4. วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2547 รัฐบาลประกาศขึ้นค่า Ft 12.16 สตางค์ / หน่วย ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 4.8% โดยอ้างว่าต้นทุนสูงขึ้นเพราะต้องใช้น้ำมันเตาแทนก๊าซจากแหล่งเยตะกุน ที่อยู่ระหว่างการปรับปรุง ทั้งๆ ที่ภาระดังกล่าวควรเป็นความรับผิดของของ ปตท. ในฐานะผู้จัดหาก๊าซ ไม่ควรจะตกมาถึงผู้ใช้ไฟ (ในทางกลับกันหาก กฟผ. ไม่สามารถรับก๊าซได้ตามสัญญา กฟผ. ต้องจ่ายค่า Take – or – Pay ให้ปตท. แต่ในหน้าที่ปตท. ส่งก๊าซไม่ได้ตามสัญญา ความเสียหายที่เกิดขึ้นกลับเป็นภาระของกฟผ. และผู้ใช้ไฟ โดยปราศจากความรับผิดชอบ)

5. วันที่ 17 ก.พ. 2547 กฟผ. และ รมว.พลังงาน ออกมาเตือนว่า งวดต่อไปค่า Ft ต้องขึ้นอีก 5 สตางค์ / หน่วย โดยอ้างสาเหตุว่าก๊าซไม่พออีกเช่นเคย

ในช่วง 4-5 เดือนมานี้ จะเห็นได้ว่ารัฐบาลมีความพยายามที่จะปรับแต่งตัวเลขอัตราค่าไฟฟ้าก่อนการแปร รูป ซึ่งมีผลต่อกำไรของ กฟผ. เพื่อให้เป็นที่ยอมรับแก่นักลงทุน ดังนั้น หากมีการแปลงสภาพ กฟผ. ค่าไฟฟ้าจะแพงขึ้นอย่างแน่นอน

จากข้อเท็จจริง ข้างต้น การที่รัฐบาลมักตอบคำถามเรื่อง การแปรรูปทำให้ค่าไฟแพงหรือไม่ว่า ค่าไฟฟ้าในอนาคตเป็นเรื่องที่ไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการกำกับดูแลการไฟฟ้าที่จะจัดตั้งขึ้นนั้น ขัดแย้งกับข้อเท็จจริงที่ปรากฏ มติ ครม. เมื่อวันที่ 9 ธ.ค.2546 ได้ระบุชัดเจนว่า กรอบการกำกับดูแลที่จะนำมาใช้เป็นหลักเกณฑ์ในการกำหนดอัตราค่าไฟฟ้า คือ เกณฑ์การประกันผลตอบแทนการลงทุน (ROIC) คณะกรรมการกำกับดูแลที่รัฐบาลจะจัดตั้งขึ้นคงทำได้ก็เพียงดำเนินการตามกรอบท ี่รัฐบาลได้วางแล้ว นอกจากนี้ คณะกรรมการชุดดังกล่าวที่รัฐบาลมักกล่าวถึง ณ วันนี้ ยังไม่มีตัวตน ไม่มีกฏหมายใดๆรองรับอำนาจ หน้าที่ ที่ชัดเจน และโดยโครงสร้างและที่มาแล้ว ยังไม่มีความเป็นอิสระจากการแทรกแซงทางการเมืองอีกด้วย

ภายหลังจากที ่มีเสียงคัดค้านการขึ้นค่าไฟฟ้าเพื่อรองรับการแปรรูปมากขึ้น ทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานก็ได้ประกาศว่า ทางรัฐบาลจะหามาตรการตรึงค่าไฟเป็นเวลา 1 ปีนับจากการแปรรูป การตรึงค่าไฟนี้มีนัยสำคัญต่อผู้บริโภคอย่างไร

สมมติฐานของการตรึงค่ าไฟ คือ ไฟฟ้าขึ้นราคาเป็นการชั่วคราวเหมือนกรณีน้ำมัน ในความเป็นจริง ผลการวิเคราะห์ฐานะการเงินของ กฟผ. แสดงให้เห็นว่า หากไม่มีการขึ้นค่าไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องเกณฑ์ผลตอบแทนการลงทุน (ROIC) ในปี 2547 – 2551 จะอยู่แค่เพียง 1 – 4 % ไม่เป็นไปตามเป้า 9 % ที่กำหนด สมมติฐานดังกล่าวจึงไม่สมเหตุสมผลกับแนวโน้มค่าไฟในความเป็นจริง

ประ สบการณ์ที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่า ภาระจากการตรึงค่าไฟฟ้าไม่ได้หายไปไหนหลังจากที่รัฐพยายามตรึงค่า Ft ในช่วงมิ.ย.46-ม.ค.47 ท้ายสุด ก็ไม่สามารถแทรกแซงได้อีก ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าพุ่งขึ้น 12เ สตางค์/หน่วย หรือเกือบ5% นอกจากนี้ ผลจากการตรึงค่า Ft ยังได้ก่อเกิดหนี้ค้างชำระอีกจำนวน 4,800 ล้านบาท เงินจำนวนนี้จะต้องทยอยเรียกเก็บจากผู้ใช้ไฟภายใน 3 ปี


บทเรียนจ ากการตรึงค่าไฟฟ้า คือ ภาระค่าไฟไม่ได้หายไปไหน จะช้าเร็วผู้ใช้ไฟฟ้าก็ต้องจ่ายอยู่ดี เพียงแต่อาจจะจ่ายในรูปค่า Ft ที่สูงขึ้น หรือ เงินภาษีอุดหนุนค่าไฟที่รัฐต้องเจียดมาจาก งบการศึกษา งบสาธารณสุข หรืออื่นๆ เท่านั้นเอง

ทางออกหนึ่งที่รัฐบาลกำลังพิจารณ าเพื่อแก้ปัญหาภาวะค่าไฟหนักอึ้ง คือ การจัดตั้งกองทุนไฟฟ้าจำนวน 60,000 ล้านบาท เพื่อใช้บรรเทาผลกระทบค่าไฟ กองทุนนี้จะมีที่มาจากรายได้และเงินปันผลจากการแปรรูป กฟผ.และอาจมีเงินภาษีสมทบด้วยส่วนหนึ่ง มาตรการนี้ หากนำมาใช้จริง จะสะท้อนให้เห็นความจริงอันน่าสลดใจของการแปรรูป ในปัจจุบัน กฟผ. มีกำไรจากการดำเนินการสูงถึง 30,000 ล้านบาท/ปี ซึ่ง 35% ของเงินจำนวนนี้ส่งเข้าเป็นรายได้ของรัฐ แต่ในอนาคตภายหลังแปรรูป รัฐกลับต้องสูญเสียรายได้ประเทศจำนวนถึง 60,000 ล้านบาท เพื่อรองรับการแปลงสภาพ กฟผ. ทั้งๆที่การแปรรูปคือ การขายความเป็นเจ้าของกิจการรัฐส่วนหนึ่งให้เอกชน

ไอ Love ไทยแลนด์

"ฝรั่งผู้หนึ่งได้เขียนบรรยายการมาเที่ยว รีสอร์ทไทยในเวปบอร์ดไว้ว่า

"Thai people look at me as a young handsome successful farang on holidays visiting his Thai girlfriend. Compared to them I'm rich....My guess is that all the good looking Thai women are all working the bars... its sad but the fact is that today in this world money means respect and power..."

นักเที่ยวรีสอร์ทผู้นี้ ยังกล่าวด้วยอีกว่าผู้หญิงไทย หลงชอบเขามาก เพราะเขาทั้งหนุ่มทั้งรวย แต่เขาเห็นว่าผู้ชายไทยนั้นส่วนใหญ่จะอ่อนแอ ไม่กล้าเถียง และขี้อิจฉา

"I love Thailand" เขาบอกว่าเขาจะมาเทียวเมืองไทยบ่อยๆ ฝรั่งผู้นี้คงจะไม่ผิดหวังแน่ๆ โดยเฉพาะในจังหวัดประจวบฯที่กําลังเป็นแหล่งท่องเที่ยวสุดฮิต

แต่ที่น่าเสียใจก็คือเมื่อวันที่ 21 มิ.ย. ที่ผ่านมานี้ เจริญ วัดอักษร ถูกลอบสังหารโดยกลุ่มอิทธิพลเพราะเขาเปิดโปงการทุจริตที่ดินสาธารณะจํานวน 931 ไร่ในจังหวัดประจวบฯ ซึ่งกลุ่มนายทุนจะนําไปสร้างรีสอร์ทใหแก่้นักท่องเทียวต่างชาติ

นายเจริญถูกมือปืนกระหนํ่ายิงจนเสียชีวิต ทันทีที่ลงจากรถทัวร์ตรงสี่แยกบ่อนอก จ. ประจวบฯ ภรรยานายเจริญ ร้องไห้จนล้มฟุบลงกับพื้น เมื่อทราบข่าวการลอบสังหาร เธอได้ร่วมชีวิตกับนายเจริญมาตั้งแต่ยังหนุ่มยังสาว ไม่นึกเลยว่าจะต้องมาพัดพรากจากกันในวันนี้

ประชาชนจํานวนมากลุกขึ้น ประท้วงเรียกร้องความเป็นธรรมหน้ากระทรวงยุติธรรม โดยทางฝ่ายรัฐบาลก็จะให้ความร่วมมือตามความเหมาะสมแต่ "จะต้องให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย" เพราะมีข้าราชการและตํารวจผู้ต้องเสียผลประโยชน์เป็นจํานวนมาก ดังนั้นจะให้เร่งจับผู้บงการมาลงโทษนั้นคงไม่ได้

เรื่องการให้ชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนจับจองที่ดิน กําลังเป็นธุรกิจที่รุ่งเรืองมาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยอมรับว่ารัฐบาล ยินดีที่จะให้นักลงทุนต่างชาติที่อยากจะไปลงทุนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ใช้พื้นที่ฟรี 99 ปี เพราะพื้นที่ดังกล่าวมีของดี แต่ทิ้งเอาไว้โดยไม่มีการลงทุน ไม่มีการจ้างงาน (ข่าว FM.100.5 พุธ ที่ 30 มิถุนายน 2547เวลา :11:24 น.)

ในขณะเดียวกันนักลงทุนต่างชาติหลายกลุ่มก็ยังลังเลกับการมาลงทุนในประเทศไทย Neil Schwartz กล่าวว่า

"Thailand is not ready. Thais especially in the South are very anti-American and most foreigners would hesitate to come to this region at this time....Thai government should take measures to ensure the safety of all foreign investors."

เขาเห็นว่าผู้ต่อต้านการลงทุนอย่างเช่น นาย เจริญ วัดอักษร นั้นยังมีอีกมาก บุคคลเหล่านี้ควรเปิดใจให้กว้างและทําความเข้าใจกลไกตลาดโลกให้มากขึ้น

แต่นาย Schwartz ก็ยังชมเชยรัฐบาลไทยว่ามีนโยบายที่ก้าวหน้่า อย่างเช่นการเปิดให้ชาวต่างชาติสามารถเข้ามาจับจองที่ดินได้ถึง 90 ปีทั่ั่วประเทศ

แม้ว่ารัฐบาลทักษิณจะได้รับการยกย่องจากนักลงทุนต่างชาติก็ตาม ชาวบ้านในพื้นที่ต่างก็ไม่เห็นด้วยกับนโยบายดังกล่าว คุณยายจาก จ. เชียงใหม่ท่านหนึ่งเล่าถึงวันที่เธอถูกไล่ออกจากบ้านว่า

" พวกมัน (ตํารวจและนายหน้า) ขี่มอเตอร์ไซมาพร้อมกันเลย....ขู่ว่าถ้าไม่ออกจากบ้านภายในอาทิตย์หน้า....มันจะเผาให้หมด.....(ร้องไห้).... ฉัน....ไม่เชื่อจริงๆว่ามันจะทํากันได้ถึงขนาดนี้....ไม่เชื่อจริงๆ"

ปัจจุุบันที่ดินที่คุณยายเคยอยู่มาร่วม 42 ปีได้กลายเป็นบ้านพักร้อนของหนุ่มชาวอเมริกัน ซึ่งเปิดให้นักท่องเที่ยวเช่าต่ออีกทอดหนึ่งแล้ว