คุยกับ Black Panther


วันนี้ได้ไปคุยกับ Bobby Seale นักปฎิวัติผู้ก่อตั้ง The Black Panther Party และคณะมาครับ แม้จะอายุมากแล้วก็ตาม เขาก็ย้งมีความคิดแปลกๆใหม่ๆอยู่เช่นเดิม “คุณเอา dvd มาให้ผมตอนนี้เลยสิ” เขาพูดกับโฆษกสาวอย่างเร่งรีบ หล้งจากได้ชมหนังเรื่อง The Revolution will not be Televised (เกี่ยวกับการปฎิวัติในประเทศเวเนซูเอลา)

“ผมจะเอาไปก๊อบแจกเครือข่ายต่อๆกันเองเราต้องเล่นแบบ กองโจร อย่าไปหวังว่าสื่อทีวีเขาจะฉายให้”

ผมเลยช่วยเสริมขึ้นมาว่าที่ “ไทยแลนด์” เด็กๆรุ่นใหม่ เขาก็ทําแบบนั้นกับ วีซีดี “เมืองไทยรายสัปดาห์”เช่นกัน จนสามารถสร้างให้เกิดกระแสระดับชาติได้ คณะของเขาตื่นเต้นกับวิธีการนี้มาก พวกเขาอยากจะดู “เมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร” (แม้จะฟังไม่ออกก็ตาม)

นี่ิแหละครับคณะ The Black Panther ตัวจริงที่ีรัฐบาลสหรัฐเคยกลัวจนตัวสั่นมาแล้ว ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพราะว่าเมื่อ 30 ปีที่แล้ว พวกเขาเคยตั้ง กองกําลังตํารวจภาคประชาชน ขึ้นมาเองโดยไม่ขึ้นต่อรัฐบาลสหรัฐ !

พวกเขาเห็นว่าคนผิวดําในสหรัฐนั้นถูกตํารวจฝรั่งรังแกมานานมากแล้ว จึงถึงเวลาอันควรที่จะถือปืนป้องกันชุมชนของต้วเอง ตํารวจสหรัฐนั้นได้ใช้อํานาจข่มเหงคนผิวดํามาตลอด แม้ถึงเวลาคับขันก็ไม่ได้ใส่ใจในหน้าที่

นายแมลค่อม เอกซ์ นักปฎิวัติผิวดําคนสําคัญ เคยบันทึกไว้ว่า

“ แม่เคยเล่าว่า ตอนผมยังอยู่ในท้องแม่ มีพวกฝรั่งที่เรียกตัวเองว่า คู คลัก คลาน (Ku Klux Klan) ขี่ม้ามาที่บ้านเรา ณ เมือง โอมาฮา รัฐเนบราสก้า ในคํ่าคืนวันหนึ่ง มันมาล้อมบ้าน โบกปืนไปมา แล้วตะโกนให้พ่อผมออกมา แม่เดินไปเปิดประตูหน้าบ้าน พร้อมกับท้องแก่ของเธอ แล้วบอกพวกมันว่า เราอยู่คนเดียวกับลูกเล็กอีก 3 คน ในขณะที่พ่อกําลังไปเทศน์อยู่ที่เมืองมิลวอกกี้ ….

คืนแห่งฝันร้ายก็ มาเยือนในปี 2472 ซึ่งเป็นความจําอันแรกของผม ผมจําได้ว่าโดนกระชากให้ตื่นขึ้นมาในความปั่นป่วน เสียงปืน เสียงร้อง ควัน และไฟ ….บ้านเราก็ติดไฟรอบข้าง พวกเรานั้นก็วิ่งชนกันอย่างแตกตื่น พยายามจะหนี แม่ผมซึ่งกําลังอุ้มทารกอยู่นั้นก็วิ่งออกจากบ้านซึ่งถล่มลงมาพร้อมกับเพลิง ผมจําได้ว่าพวกเรานั้นออกมาเหลือแต่ตัวกับกางเกงใน ตะโกนร้องเรียกขอความช่วยเหลือ พวกตํารวจฝรั่งกับคนดับเพลิงก็มายืนกอดอกอยู่เฉยๆ จนบ้านเรานั้นไหม้ติดดิน.......”

เมื่อไม่นานมานี้ พายุแคทรีนาที่ถาโถมเข้าฝั่งรัฐหลุยเซียนา ด้วยความเร็ว 140 ไมล์/ชั่วโมง (225 กิโลเมตร/ชั่วโมง) ได้ทำลายบ้านเรือน ทรัพย์สิน และชีวิตเป็นจํานวนมาก

ในขณะที่เมืองทั้งเมืองกำลังจมอยู่ใต้น้ำ และคนผิวดําหลายหมื่นกำลังอดน้ำ อดอาหาร และไฟฟ้า พวกเขากลับถูกเจ้าหน้าที่ตํารวจยิงเสียชีวิต เมื่อพวกเขาพยายามสู้เพื่อความอยู่รอดด้วยการพังเข้าไปในร้านของชำเพื่อนำอาหารและน้ำมาประทังชีวิต รายงานข่าวจากสำนักข่าว CNN กล่าวชมเชยตํารวจอย่างภาคภูมิใจ

ผู้อยู่ในเหตุการณ์ท่านหนึ่งเล่าให้ฟังว่่า “ผมต้องระวังตัวเป็นพิเศษเพราะผมเป็นคนดํา หลังจากทางรัฐเห็นว่าเมืองไหนไม่ปลอดภัย รัฐก็จะส่งทหารมาเฝ้่าพร้อมห้ามไม่ให้ผู้ใดกลับเข้าบ้านเป็นอันขาด ใครเป็นคนผิวดําจะถูกยิงโดยง่าย ผมเห็นมากับตาแล้ว ในขณะเดียวกัน นักจับจองที่ดินและกลุ่มผู้รับเหมาก่อสร้างกลับสามารถเข้าไปในบ้านผมได้”

เหตุการณ์เช่นนี้เองที่ทําให้ คนผิวดําเล็งเห็นว่า ตํารวจสหรัฐนั้นมีไว้เพียงเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของฝรั่งที่รํ่ารวยเท่านั้น คนผิวดําในสหรัฐจึงตกอยู่ในสภาำพที่ลําบาก อยู่ในสภาพที่ไม่สามารถป้องกันตัวเองและครอบครัวไ้ด้

เมื่อประชาชนผิวดําเริ่มการชุมนุมเรียกร้องสิทธิโดยสันติวิธีในช่วงปี 2506 นั้น ตํารวจสหรัฐก็ได้ใช้วิธีกลั่นแกล้งต่างๆนาๆ รวมทั้งการให้อันธพาลเข้ามาล้อมและทําร้ายกลุ่มผู้ชุมนุม สุดท้ายแล้ว ดร.มาติน ลูเทอร์ คิง ซึ่งเป็นผู้นําการชุมนุมก็ถูกสังหารโดยมือปืนผู้ไม่เห็นด้วยกับการชุมนุมอย่างสันติวิธี

การปราบปรามคนผิวดําโดยตํารวจสหรัฐนั้น ได้เริ่มขึ้นอย่างจริงจังและเป็นระบบภายหลังสงครามเวียดนาม

ในช่วงสงครามเวียดนาม หน่วยงาน CIA ของสหรัฐอเมริกาได้ใช้นโยบายประชานิยม สนับสนุนการปลูกยาเสพติดทั่วโลก (ชาวเขาก็ไม่เว้น) เพื่อให้พวกเขามีรายได้ จะได้ไม่ไปร่วมมือกับกลุ่มคอมมิวนิสต์ (ซึ่งมักจะเป็นกลุ่มปัญญาชนผู้ไม่เห็นด้วยกับระบบทุนนิยม)

ยาเสพติด เหล่านี้ก็ได้หลั่งไหลกลับเข้่ามายังสหรัฐอเมริกา และมีการแพร่หลายในทุกกลุ่มคนและชนชั้น แต่ในช่วงปี 2523 รัฐบาลสหรัฐกลับริเริ่มนโยบายปราบปรามยาเสพติดโดยมุ่งเน้นการจับกุมคนผิวดําและคนจนเป็นหลัก

กองกําลังตํารวจภาคประชาชน ของ The Black Panther จึงตกเป็นเป้าที่รัฐบาลจะต้องกําจัดให้ได้ เพราะหากไม่กําจัดเสีย รัฐก็จะไม่สามารถดําเนินนโยบาย "ปราบปรามยาเสพติด" ได้อย่างราบรื่น

ตํารวจรัฐจึงใช้วิธีลักพาตัว ลอบสังหาร และการข่มขืนภรรยาและญาติของคณะผู้ก่อการ สุดท้ายแล้ว The Black Panther ก็ต้องพ่ายแพ้กองกําลังตํารวจรัฐบาล เพราะมีจํานวนคนและปืนไม่มากพอ นอกจากนี้แล้วคนผิวดําส่วนใหญ่ต้องการสู้กับอํานาจรัฐโดยใช้สันติวิธี

การสู้กับอํานาจรัฐโดยใช้สันติวิธี และตามกฎกติกา จึงเป็นแนวทางที่คนผิวดําในสหรัฐใช้มาตลอด 20 ปีที่ผ่านมา

ปัจจุบันประเทศสหรัฐอเมริกามีคนผิวดําเพียง 12 % ของประชากรทั้งหมด แต่ครึ่งหนึ่งของประชากรในคุกของสหรัฐนั้นเป็นคนผิวดํา