จดหมายถึงพันธมิตรเพื่อประชาธิปไตย

โดย ศิโรตม์
คล้ามไพบูลย์

นับตั้งแต่ “ปรากฎการณ์สนธิ” ได้ยกระดับเป็นการจัดตั้ง “พันธมิตรเพื่อประชาธิปไตย” ความเคลื่อนไหวของฝ่ายต่อต้านรัฐบาลก็ดูจะเติบใหญ่ขึ้นทุกระยะ ถึงขั้นที่สามารถจัดชุมนุมใหญ่แบบยืดเยื้อโดยมีจุดหมายอยู่ที่การขับไล่นายกรัฐมนตรีได้ จากเดิมที่ใครต่อใครต่างก็ไม่แน่ใจว่าสถานการณ์ทั้งหมดจะปิดฉากลงอย่างไร

โดยปกติของการเคลื่อนไหวทางการเมืองนั้น นักเคลื่อนไหวทุกคนรู้ดีว่าเป้าหมายแบบนี้หมายถึงการผลักขบวนให้เดินไปสู่จุดหมายบางอย่างที่ล่าถอยไม่ได้ , นำไปสู่การเผชิญหน้ากับฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองอย่างเต็มที่ หรือพูดอีกอย่างก็คือมีโอกาสที่จะประจันหน้าคนกลุ่มที่กุมกลไกรัฐและการปราบปรามโดยตรง

จริงอยู่ รัฐบาลทรราชย์ในอดีตคือฝ่ายที่ริเริ่มใช้ความรุนแรงต่อประชาชน จึงไม่มีประชาชนหรือผู้นำชุมนุมรายไหนที่ควรถูกกล่าวหาว่า “พาคนไปตาย”
อย่างที่เคยเกิดในสมัย 6 ตุลาคม 2519 หรือพฤษภาคม 2535

อย่างไรก็ดี ความเป็นจริงมีอยู่ว่าในการเคลื่อนไหวทางการเมืองขนาดใหญ่ทั้งหมดนั้น ผู้นำการชุมนุมไม่ได้มีหน้าที่เพื่อต่อสู้ทางการเมืองเพียงอย่างเดียว
หากยังมีหน้าที่และความรับผิดชอบต่อผู้ร่วมชุมนุมทุกคน

ในฐานะที่ผู้เขียนเคยเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม ศึกษาเรื่องการเมืองและประชาธิปไตย รวมทั้งคุ้นเคยกับมิตรสหายในพันธมิตรเพื่อประชาธิปไตยมาบ้าง จึงขอเสนอความเห็นต่อการชุมนุมในขณะนี้สักเล็กน้อย

ข้อแรก การเคลื่อนไหวปี 2549 แตกต่างจากการเคลื่อนไหวเดือนพฤษภาคม เพราะคู่ต่อสู้ทางการเมืองไม่ใช่รัฐบาลเผด็จการทหารที่นายกรัฐมนตรีควบคุมอำนาจ 3 เหล่าทัพและตำรวจได้อย่างเข้มแข็ง หากคือรัฐบาลของนายทุนขนาดใหญ่ที่มีแนวโน้มว่าไม่สามารถจะคุมกองทัพทั้งหมดได้อย่างเต็มที่ คุมได้ก็แต่ผู้นำกองทัพปีกที่นายกรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเอง

เฉพาะในข้อนี้ ยุทธวิธีการเคลื่อนไหวจึงไม่จำเป็นต้องเร่งรัดให้เกิดเผชิญหน้าระหว่างผู้ชุมนุมกับรัฐบาลเพียงอย่างเดียว แต่อาจคิดถึงการชุมนุมเพื่อตรึงพื้นที่ที่มีลักษณะยืดเยื้อ เพื่อที่จะฉวยใช้ความไม่ลงรอยของชนชั้นนำ ให้เป็นประโยชน์ทางการเมืองกับฝ่ายผู้ชุมนุมให้มากที่สุด

ข้อสอง ด้วยเหตุที่เป้าหมายของการต่อสู้ของปี 2535 อยู่ที่การขับไล่เผด็จการทหาร ขณะที่ผู้นำของฝ่ายต่อต้านก็คืออดีตนายทหารที่มีอิทธิพลต่อแกนนำส่วนอื่นอย่างสำคัญ ยังผลให้ความเคลื่อนไหวถูกกำหนดบนฐานการคิดแบบนี้ นั่นก็คือฐานคิดที่มองการชุมนุมบนถนนราชดำเนินแบบเดียวกับการรบยามสงคราม

ในปี 2549 ประชาชนไม่ได้เผชิญกับเผด็จการทหาร จึงไม่มีเหตุผลที่ผู้นำการชุมนุมจะคิดถึงการต่อสู้แบบเดียวกับปี 2535 หากควรกำหนดขั้นตอนการเคลื่อนไหวโดยตระหนักว่าการเมืองแตกต่างจากการทหาร เพราะขณะที่ทหารมุ่งแย่งชิงพื้นที่ทางยุทธศาสตร์ การต่อสู้ทางการเมืองกลับมุ่งช่วงชิงความชอบธรรมแลความยอมรับในสังคม ก่อนที่จะอาศัยความเห็นพ้องต้องกันนี้ไปกดดันให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง

พูดให้สั้นที่สุด ไม่จำเป็นที่ขบวนการ 2549 ต้องหมกมุ่นอยู่แต่การเดินขบวนเพื่อยึดพื้นที่ เพราะไม่ใช่มีแต่การยึดพื้นที่เท่านั้นที่จะสามารถกดดันนายกรัฐมนตรี

ในข้อนี้ แม้ประชาชนจะมีสิทธิโดยชอบที่จะชุมนุม, ปิดถนน และเดินขบวนได้ แต่ผู้นำการชุมนุมมีความรับผิดชอบอย่างเต็มที่ในอันที่จะป้องกันไม่ให้การใช้สิทธินี้กลายเป็นการประจันหน้าทางการเมืองและความรุนแรง

ข้อสาม ผู้ร่วมชุมนุมในปี 2535 จำนวนมากมีสายสัมพันธ์กับองค์กรจัดตั้ง, มูลนิธิ, สหภาพ, สมัชชา , และพรรคการเมืองต่างๆ ทำให้การตัดสินใจชุมนุมเป็นเรื่องของการตกลงร่วมกันในหมู่ผู้นำและนักเคลื่อนไหวจำนวนน้อยจากองค์กรแบบนี้ ขณะที่โดยส่วนใหญ่ของผู้ร่วมชุมนุมในปี 2549 ไม่เกี่ยวข้องกับองค์กรอะไรทั้งนั้น จึงไม่มีเหตุผลที่นักเคลื่อนไหวและนักปราศรัยไม่กี่คนจะผูกขาดกำหนดทิศทางของการชุมนุมทางการเมือง

ในประเด็นนี้ ควรตระหนักด้วยว่าจุดแข็งที่สุดของขบวนการ 2549 คือการเป็นขบวนการต่อสู้ในรูปเครือข่ายที่แต่ละฝ่ายแต่ละองค์กรล้วนมีลักษณะจัดตั้งตัวเอง
(self-organization) ถึงขั้นที่คนแทบทุกฝ่ายได้เริ่มเคลื่อนไหวและแสดงจุดยืนต่อต้านนายกรัฐมนตรีโดยเป็นเอกเทศมาอย่างกว้างขวาง จึงเป็นหน้าที่ที่ผู้นำการชุมนุมต้องตระหนักถึงจุดแข็งนี้ พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้ผู้นำและผู้แทนของคนกลุ่มย่อยฝ่ายต่างๆ มีบทบาทนำการชุมนุม

อย่าลืมว่าการมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวาง คือวิธีการที่ดีที่สุดในการป้องกันไม่ให้การชุมนุมวันที่ 26 ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของผู้นำที่คาดเดาพฤติกรรมไม่ได้ ซ้ำยังป้องกันไม่ให้ใครก็ตามกำหนดการเคลื่อนไหวโดยคิดถึงแต่ชัยชนะทางยุทธวิธี

ข้อสี่ การเดินขบวนจากสนามหลวงไปถนนราชดำเนินในวันที่ 17 พฤษภาคม 2535 เกิดขึ้นเมื่อผู้นำการชุมนุมบางคนอ้างว่าประชาชนไม่อาจชุมนุมอยู่กับที่ได้เพราะความรู้สึกต่อต้านเผด็จการได้สุกงอมอย่างเต็มที่ , เพราะประชาชนพร้อมจะสู้โดยไม่เสียดายชีวิต ฯลฯ อย่างไรก็ดี ข้อเท็จจริงในวันนั้นมีอยู่ว่าไม่เคยมีใครถามประชาชนว่าพวกเขาคิดอย่างไร

ในการต่อสู้ทางการเมืองขนาดใหญ่นั้น เป็นไปได้มากที่บรรยากาศและปริมาณของผู้คนจะกระตุ้นให้ผู้นำชุมนุมเห็นว่าผู้ร่วมชุมนุมต้องการชัยชนะทางการเมืองโดยวิธีการเฉียบพลัน เกิดเป็นภาพลวงตาว่าประชาชนรับการชุมนุมลักษณะยืดเยื้อไม่ได้ แล้วผลักการเคลื่อนไหวทั้งหมดไปสู่ทิศทางที่ในที่สุดแล้วทำลายเจตนารมณ์ของการเคลื่อนไหวเอง

ในวันที่ 17-18 พฤษภาคม หลังจากรัฐบาลเผด็จการทหารปราบปรามผู้ชุมนุมไม่นานนัก และในขณะที่ “ผู้ชายเดือนพฤษภา” บางคนหนีหายไป
ประชาชนหันไปรวมตัวกันใหม่ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง พร้อมกับความคาดหวังที่แพร่สะพัดไปทั่วกรุงเทพว่าทหารบางส่วนจะออกมาปฏิวัติเพื่อล้มล้างรัฐบาลเผด็จการของ พล.อ.สุจินดา ก่อนที่เรื่องทั้งหมดจะปิดฉากลงด้วยการแต่งตั้งบุคคลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี

บทเรียนจากเดือนพฤษภาคม 2535 แสดงให้เห็นว่าการเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยที่แปรสภาพเป็นการเดินขบวน, การประจันหน้า และการปะทะอย่างไม่จำเป็น ท้ายที่สุด ย่อมผลักดันให้คนทั้งหมดมองไม่เห็นทางเลือกอื่น นอกจากรอคอยความช่วยเหลือจากทหารและชนชั้นนำในสังคม

อ่านมาถึงตรงนี้ ผู้ที่เกี่ยวข้องกับพันธมิตรเพื่อประชาธิปไตยคงเห็นว่าผู้เขียนกำลังพูดถึงการเปลี่ยนแปลงในระดับฐานคิด ส่วนเป้าหมายของการพูดนั้นก็เพื่อป้องกันไม่ให้การชุมนุมผลักตัวเองไปสู่สถานการณ์ที่เสี่ยงต่อความรุนแรงโดยไม่จำเป็น

แน่นอนว่าไม่มีผู้นำการชุมนุมคนไหนอยากให้การชุมนุมปิดฉากลงอย่างโหดร้าย เพราะความโหดร้ายและการสูญเสียของผู้ร่วมชุมนุมจะตามหลอกหลอนมโนธรรมสำนึกของผู้นำการชุมนุมไปตลอดชีวิต

เพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียแบบนี้ ผู้นำการชุมนุมจึงพึงหลีกเลี่ยงวิธีคิดและวางแผนการชุมนุมแบบนักการทหาร ระวังระไวมายาคติและภาพลวงตาแบบนักยุทธวิธีทางการเมือง แต่ควรคิด, สำรวจ, และสร้างความเป็นไปได้ทางการเมืองทุกชนิดที่จะทำให้เจตนารมณ์ทางการเมืองของประชาชนปรากฎเป็นจริง

จอห์น เบาว์ริง-การค้าเสรี (ระเบียบใหม่ของโลกเก่า)

ชาญวิทย์ เกษตรศิริ
กัณฐิกา ศรีอุดม

คงเกือบไม่มีอาจารย์ หรือนักเรียนนักศึกษาไทยคนใด ที่ไม่เคยได้ยินชื่อหรือไม่รู้จักนามของ “เซอร์ จอห์น เบาว์ริง” เจ้าตำรับของ “สนธิสัญญาเบาว์ริง” ที่ทำให้ไทยสมัยพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาล ที่ 4 ต้อง “เสียอำนาจอธิปไตยทางการศาล” และปรากฏมี “สิทธิสภาพนอกอาณาเขต” เกิดขึ้น แต่ก็ ทำให้สยามรอดจากการตกเป็น “อาณานิคม” (โดยตรงสมบูรณ์แบบ) ไปได้ และหากจะสนใจมากไปกว่านี้ ก็คง ทราบว่าสนธิสัญญาดังกล่าว ทำให้เกิด “การค้าเสรี” ถือเป็นการสิ้นสุดของ “การผูกขาดการค้าต่าง ประเทศ” โดย “พระคลังสินค้า” ของกษัตริย์และเจ้านายสยาม ฯลฯ

แต่ก็คงมีน้อยคนที่จะทราบว่าเซอร์จอห์น เบาว์ริง เป็นมนุษย์มหัศจรรย์ของยุคสมัยจักรวรรดินิยมล่าอาณานิคม ที่เป็นทั้งเจ้าเมืองฮ่องกง (ถึง 9 ปีระหว่าง ค.ศ. 1848-57) เป็นพ่อค้า เป็นนักการทูต เป็นนักเศรษฐศาสตร์การเมือง เป็นนักการศาสนา เป็นนัก แต่งเพลงสวด เป็นกวี เป็นนักประพันธ์ เป็นบรรณาธิการ เป็นนักภาษาศาสตร์ (รู้ถึง 10 ภาษาหลักๆ ทั้งหมด ในยุโรป รวมทั้งภาษาจีน) กล่าวกันว่าเบาว์ริงเชื่อมั่นอย่างรุนแรงทั้ง “การค้าเสรี” ทั้ง “พระเยซูเจ้า” ดังนั้นจึงได้กล่าว “คำขวัญ” ไว้ว่า "Jesus Christ is free trade, free trade is Jesus Christ" หรือ “พระเยซู คริสต์คือการค้าเสรี และการค้าเสรีก็คือพระเยซูคริสต์”

ท้ายที่สุดสมัยปลายรัชกาลที่ 4 และต้นรัชกาลที่ 5 ท่านได้รับแต่งตั้งเป็นอัครราชทูตไทยประจำลอน ดอน และยุโรป ถือได้ว่าเป็น “ตัวแทนประจำคนแรกของไทย” ก็ว่าได้ มีบรรดาศักดิ์เป็น “พระยา สยามมานุกูลกิจ สยามมิตรมหายศ” เบาว์ริงเกิด พ.ศ. 2335 (17 ตุลาคม 1792) ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 1 ท่านมี อายุมากกว่าพระจอมเกล้า 12 ปี ท่านสิ้นชีวิต พ.ศ. 2415 (23 พฤศจิกายน 1872) เมื่ออายุ 80 ปี หรือ ภายหลังการสวรรคตของพระจอมเกล้าฯ 4 ปีนั่นเอง

“หนังสือ” สนธิสัญญาเบาว์ริง

สนธิสัญญาเบาว์ริง ว่าด้วย “การค้าเสรี” อันเป็น “ระเบียบใหม่” ของโลกในยุคลัทธิจักรวรรดินิยม อาณานิคมตะวันตก ลงนามกันระหว่างอังกฤษและสยามเมื่อ 18 เมษายน พ.ศ. 2398 (ค.ศ. 1855) ในสมัยรัฐบาล “ประชาธิปไตย” ของพระบาทสมเด็จฯ พระราชินีนาถวิกตอเรีย และ สยามสมัย “ราชาธิปไตย” ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ รัชกาลที่ 4 สนธิสัญญานี้มีความสำคัญอย่างยิ่งและใช้บังคับอยู่เป็นเวลา ถึง 70 กว่าปี จนกระทั่งมีการแก้ไขค่อยๆยกเลิกไปในสมัยรัชกาลที่ 6 ภายหลังเมื่อสงครามโลกครั้ง ที่ 1 สิ้นสุดลงเมื่อปี 2461 (1918) แต่กว่าไทยจะมี “เอกราชสมบูรณ์” ก็ต่อเมื่อในปี 2482 (1938) ใน สมัย “รัฐธรรมนูญนิยม” ของรัฐบาลพลตรีหลวงพิบูลสงครามที่มีการแก้ไขและลงนามในสนธิสัญญา ใหม่กับโลกตะวันตก (และญี่ปุ่น) ทั้งหมด

แม้ว่าในปัจจุบันสนธิสัญญาเบาว์ริง จะกลายเป็นประวัติศาสตร์ไปแล้วก็ตาม แต่หลักการว่าด้วย “การค้า เสรี” ที่ลงรากในสมัยนั้น ก็ยังคงเป็น “ระเบียบแบบแผน” ของเศรษฐกิจกระแสหลักของโลกอยู่ใน ปัจจุบันอยู่ ดังนั้น จึงมีความจำเป็นที่จะต้องทำความเข้าใจสนธิสัญญาเบาว์ริงนี้ตามสมควร

พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นครองราชสมบัติในปี 2394 (1851) พร้อมด้วยการตั้งพระทัยอย่าง มุ่งมั่นว่า หากสยามจะดำรงความเป็นเอกราชอยู่ได้และพระองค์จะทรงมีฐานะเป็น “เอกกษัตราธิราชสยาม” ได้ ก็จะต้องทั้ง “เรียนรู้” และ “ลอกเลียน” รูปแบบจากชาติตะวันตก (โดยเฉพาะอย่างยิ่งมหาอำนาจอังกฤษ) จะต้องประนีประนอมประสานแบ่งปันผลประโยชน์กับฝรั่ง ทั้งนี้เพราะ 10 กว่าปีก่อนการขึ้นครองราชของพระองค์นั้น จีนซึ่งเป็นมหาอำนาจอันดับหนึ่งเป็น “อาณาจักรศูนย์กลาง” ของโลกเอเชีย (และจีนก็ยังคิดว่าตนเป็น “ศูนย์กลาง” ของโลกทั้งหมด โปรดสังเกตชื่อประเทศและตัวหนังสือจีนที่ใช้สำหรับประเทศของตน) และก็ถูกบังคับด้วยแสนยานุภาพทางนาวีให้เปิดประเทศให้กับการค้า ของฝรั่ง ดังที่เป็นที่ทราบกันดีว่าจีนพ่ายแพ้อย่างย่อยยับใน “สงครามฝิ่น” ปี พ.ศ. 2383-85 (1840-42 ) ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 3) ต้องยกเลิกระบบบรรณาการ “จิ้มก้อง” และเปิดการค้าเสรีกับเมืองท่าชาย ทะเลให้ฝรั่ง (ขายฝิ่นได้โดยเสรี) แถมยังต้องเสียเกาะฮ่องกงไปอีกด้วย

การล่มสลายของจีนต่อ “ฝรั่งอั้งม๊อ” (คนป่าคนเถื่อน) ครั้งนี้น่าจะส่งอิทธิพลต่อพระจอมเกล้าฯ อย่างมหาศาล ที่เห็นได้ชัดคือการส่งบรรณาการ “จิ้มก้อง” ที่ไทยไม่ว่าจะสมัยสุโขทัย อยุธยา ธนบุรี และรัตนโกสินทร์ ก็ได้ส่งไปยังเมืองจีนเพื่อถวายกับจักรพรรดิจีนมาเป็นเวลากว่าครึ่ง สหัสวรรษ นั้นต้องสิ้นสุดลง

ดังนั้น พระจอมเกล้าฯ จึงทรงเป็นกษัตริย์ไทยองค์สุดท้ายที่ส่ง “บรรณาการ” หรือ “จิ้มก้อง” ครั้งสุดท้ายไปกรุง ปักกิ่งเมื่อปี 2396 (1853) หรือก่อนการลงนามในสนธิสัญญาเบาว์ริงเพียง 2 ปีเท่านั้นเอง ในรัชสมัย ของพระองค์ สยามก็หลุดออกจากวงจรแห่งอำนาจของจีน และก้าวเข้าสู่วงจรแห่งอำนาจของ อังกฤษด้วยการลงนามสนธิสัญญาเบาว์ริงดังกล่าวข้างต้น

แต่เรื่องของอำนาจทางการเมืองของตะวันตก ก็หาใช่เหตุผลสำคัญประการเดียว ในการที่พระจอมเกล้าฯ รัชกาลที่ 4 จะทรงผูกมิตรอย่างมากกับฝรั่งไม่ ดูเหมือนว่าพระองค์จะทรงเชื่อว่า สยามใหม่ของพระองค์ น่าจะได้รับประโยชน์ ในการที่จะมีความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับชาติตะวันตก พร้อมๆกับการ เปลี่ยนแปลงเรื่องของรายได้ ภาษีอากรภายในประเทศด้วย พระองค์จึงพอพระทัยที่จะแสวงหาและพัฒนาความสัมพันธ์นั้น

ดังนั้น เซอร์ จอห์น เบาว์ริงก็โชคดีมาก ที่การเจรจาสนธิสัญญาใหม่ทำได้โดยง่ายกว่าบรรดาทูต หรือตัวแทนของอังกฤษที่มาก่อนหน้านั้น ที่ต้องเผชิญกับขุนนางและข้าราชสำนักสยามที่ไม่ เป็นมิตรนัก ซ้ำยังต้องเผชิญกับกษัตริย์ (พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3) ที่ไม่ทรงเห็นด้วยกับ การที่สยามจะต้องทำสนธิสัญญาที่เสียเปรียบฝรั่งในลักษณะดังกล่าว และที่สำคัญคือไม่ทรงเห็น ด้วยที่จะให้ฝรั่งเข้ามาค้าขาย “ฝิ่น” ได้อย่างเสรี ดังปรากฎอยู่ใน “ประกาศห้ามซื้อขายและสูบกิน ฝิ่น” ปี พ.ศ. 2382 (1839) ที่ออกมาบังคับใช้แบบไม่ค่อยจะเป็นผลนัก ก่อนหน้า “สงครามฝิ่น” เพียงปีเดียว

แม้ว่าเบาว์ริงจะมีปัญหาในการเจรจากับข้าราชสำนักบางท่าน (เช่นสมเด็จเจ้าพระยาองค์ใหญ่ และสมเด็จเจ้าพระยาองค์น้อย หรือเจ้าพระยาพระคลัง) แต่ดูเหมือนพระจอมเกล้าฯ ก็ทรงอยู่ในปีกความคิดฝ่ายเดียวกับเบาว์ริงมาแต่เริ่มแรก ว่าไปแล้วในประเทศเช่นสยาม ที่พระเจ้าแผ่นดินทรงมีอำนาจเกือบจะสมบูรณ์นั้น ก็ถือว่าเป็นความได้เปรียบของเบาว์ริงอย่างยิ่ง

ในสมัยก่อนหน้าเบาว์ริงนั้นความสัมพันธ์ระหว่างสยามและอังกฤษ ถูกกำหนดไว้โดยสนธิสัญญา เบอร์นีปี 2369 (1826) และเบาว์ริงก็ใช้สนธิสัญญานี้เป็นจุดเริ่มต้นเจรจา ทั้งนี้โดยรักษามาตราเดิมๆ ที่ยังใช้ได้ไว้ บางมาตราก็เพียงแต่ให้นำมาบังคับใช้ให้เป็นผล และมีเพียงไม่กี่มาตราที่จะต้องทำการ แก้ไขใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่เบาว์ริงต้องการขจัดออกไปให้ได้จากข้อผูกมัดของสนธิสัญญา เบอร์นี คือ

1. ข้อความที่ให้คนในบังคับอังกฤษในสยาม ต้องขึ้นกับกระบวนการของกฎหมายสยาม

2. ข้อความที่ให้อำนาจข้าราชสำนักสยามห้ามพ่อค้าอังกฤษไม่ให้ปลูกสร้าง หรือว่าจ้าง หรือซื้อบ้านพักอาศัย ตลอดจนร้านค้าได้ในแผ่นดินสยาม

3. ข้อความที่ให้อำนาจต่อเจ้าเมืองในหัวเมือง ที่จะไม่อนุญาตให้พ่อค้าอังกฤษค้าขายในท้อง ที่ของตน

4. ข้อความที่กำหนดให้ฝิ่นเป็นสินค้า “ต้องห้าม” (แบบที่จักรพรรดิจีนและรัชกาลที่ 3 เคยห้าม หรือให้เฉพาะแต่เจ้าภาษีนายอาการผูกขาดไป)

5. ข้อความที่กำหนดว่าเรือของอังกฤษที่เข้ามายังเมืองท่าบางกอกนั้น จะต้องเสียค่าระวาง (ค่าธรรมเนียมปากเรือ) สูง และในมาตราเดียวกันของข้อความนี้ ยังมีการห้ามส่งออกข้าวสารและข้าวเปลือกรวมทั้งปลาและเกลืออีกด้วย

กล่าวโดยย่อ เซอร์ จอห์น เบาว์ริงมีวัตถุประสงค์ในการเจรจาสนธิสัญญาใหม่ ที่จะขจัดข้อจำกัดกีด ขวางเรื่องของการค้าทั้งหมด และก็ประสบความสำเร็จอย่างน่าอัศจรรย์ใจ แต่ก็กล่าวได้เช่นกันว่า ที่พระจอม เกล้าฯ รัชกาลที่ 4 ทรงยินยอมต่อข้อเรียกร้องทางผลประโยชน์ของฝรั่งตะวันตก ทั้งหมดนั้น กลายเป็น win-win situation ทั้งสองฝ่าย แม้ว่าบางเรื่องจะมาเกิดปัญหาอย่างหนักหน่วง และต้องเจรจาแก้ไขภายหลัง เช่น เรื่อง “คนในบังคับ” ของต่างชาติ หรืออีกนัยหนึ่ง คือ สิทธิสภาพ นอกอาณาเขต ฯลฯ

ข้อตกลงหลักๆในสนธิสัญญาเบาว์ริงที่ลงนามกันในปี 2398 (1855) ก็มีสาระสำคัญ ดังนี้

1. คนในบังคับอังกฤษ จะขึ้นกับอำนาจของศาลกงสุลอังกฤษ เกิดสิ่งที่เรียกว่า “สิทธิ สภาพนอกอาณาเขต” ขึ้นในสยามเป็นครั้งแรก ซึ่งจะกลายเป็นปัญหาหนักของสยามใน สมัยต่อๆมา

2. คนในบังคับอังกฤษ มีสิทธิที่จะทำการค้าโดยเสรีตามเมืองท่าของสยาม (หัวเมืองชาย ทะเล)ทั้งหมด และสามารถพักอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ ได้เป็นการถาวร คนในบังคับอังกฤษ สามารถซื้อหาหรือเช่าอสังหาริมทรัพย์ในปริมณฑลของกรุงเทพฯ คือ ในบริเวณ 4 ไมล์ หรือ 200 เส้นจากกำแพงพระนคร หรือ “ตั้งแต่กำแพงเมืองออกไป เดินด้วยกำลังเรือแจว เรือพายทาง 24 ชั่วโมง” ได้ อนึ่ง คนในบังคับอังกฤษได้รับอนุญาตให้เดินทางภายใน ประเทศได้อย่างเสรี โดยให้ถือใบผ่านแดนที่ได้รับจากกงสุลของตน

3. มาตรการต่างๆ ทางภาษีอากรเดิมให้ยกเลิก และกำหนดภาษีขาเข้าและขาออก ดังนี้

(ก) ภาษีขาเข้ากำหนดแน่นอนไว้ที่ร้อยละ 3 สำหรับสินค้าทุกประเภท ยกเว้นฝิ่น ซึ่งจะปลอดภาษี แต่จะต้องขายให้แก่เจ้าภาษีฝิ่นเท่านั้น ส่วน เงินแท่งก็จะปลอดภาษีเช่นกัน (ตรงนี้เบาว์ริงและอังกฤษได้ไปอย่างสม ประสงค์ ไม่ต้องทำ “สงครามฝิ่น” กับไทย แต่ทางฝ่ายไทย คือ เจ้าภาษีนาย อากรก็ได้ผลประโยชน์จากการค้าฝิ่น ที่ลักลอบทั้งซื้อ ทั้งสูบทั้งกิน ที่ทำมาตั้งแต่สมัยปลายรัชกาลที่ 3 แล้ว ในเวลาเดียวกันเจ้านายราชสำ นักไทยในรัชกาลใหม่ ตั้งแต่พระเจ้าแผ่นดินจนกระทั่งเจ้านายทรงกรมต่างๆ ก็ได้ผล ประโยชน์ จากเงินรายได้ภาษีฝิ่นนี้ เพราะมีการให้สัมปทานฝิ่น กับเจ้าภาษีนายอากรมาแล้วก่อนการลงนามสนธิสัญญาเบาว์ริงด้วยซ้ำไป

(ข) สินค้าขาออกจะถูกเก็บภาษีเพียงครั้งเดียว ไม่ว่าจะเป็นภาษีภายใน หรือผ่านแดน หรือส่งออกก็ตาม

4. พ่อค้าอังกฤษได้รับอนุญาตให้ซื้อและขายโดยตรงกับคนชาวสยาม ทั้งนี้โดยไม่มีการ แทรกแซงจากบุคคลที่สามแต่อย่างใด

5. รัฐบาลสยามสงวนสิทธิ์ที่จะห้ามการส่งออก ข้าว เกลือ และปลา หากเห็นว่าสินค้าดังกล่าว อาจจะขาดแคลนได้

6. กำหนดให้มีมาตราที่ว่าด้วย a most-favored nation ซึ่งหมายถึง “ถ้าฝ่ายไทยยอมให้สิ่งใดๆ แก่ชาติอื่นๆ นอกจากหนังสือสัญญานี้ ก็จะต้องยอมให้อังกฤษ แลคนในบังคับอังกฤษ เหมือนกัน”

สรุปแล้ว สนธิสัญญาเบาว์ริง มีสาระสำคัญอยู่ที่การกำหนดให้มี “สิทธิสภาพนอกอาณาเขต” ให้มี “การค้าเสรี” และให้มีภาษีขาเข้าและขาออกในอัตราที่แน่นอน (3 %) แต่ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น ก็คือ การที่ข้อกำหนด ต่างๆ ได้รับการเคารพและปฏิบัติตามโดยรัฐบาลสยามเป็นอย่างดี มิได้เป็นเพียงแต่ตัวหนังสือในตัวบทกฎข้อสัญญาเท่านั้น กล่าวได้ว่านี่ก็เนื่องจากความตั้งพระทัยแน่วแน่ของรัชกาลที่ 4 และขุนนางรุ่นใหม่ที่มีเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ในฐานะกลาโหมเป็นผู้นำ ที่จะทำให้สนธิสัญญาเป็นผลอย่างแท้จริง เป็นผลประโยชน์ของราชสำนักและขุนนางร่วมกัน เป็น win-win situation ดังกล่าวข้างต้น และอาจจะมีเพียงมาตราที่เกี่ยวกับเรื่องการส่งออกข้าวเท่านั้น เอง ที่ดูจะคลุมเครือและขึ้นอยู่กับการตีความของราชสำนักเป็นสำคัญ แต่ก็หาได้เป็นการเสียผลประ โยชน์ของฝ่ายอังกฤษไม่

สนธิสัญญาเบาว์ริง ยังมีความหมายถึงการที่สยามต้องยอมเสีย “อำนาจอธิปไตย” บางประการ ซึ่งไม่เพียงแต่เรื่องของการมี “สิทธิสภาพนอกอาณาเขต” ของคนในบังคับอังกฤษเท่านั้น แต่มีทั้ง เรื่องของภาษีขาเข้าร้อยละ 3 กับการกำหนดภาษีขาออก ที่ราชสำนักสยามต้องยอมปล่อยให้ภาษีศุล กากรนี้หลุดมือไป มีสินค้า 64 รายการทั้งที่สำคัญและไม่สำคัญถูกกำหนดไว้อย่างแน่นอนและ ละเอียดยิบไว้ในสนธิสัญญานี้ (เบาว์ริงเป็นนักการบัญชีด้วย พร้อมๆกับการที่ต้องเผชิญเจรจากับเจ้า พระยาพระคลัง (รวิวงศ์หรือทิพกรวงศ์) ที่ก็มีความละเอียดถี่ถ้วน เช่นกัน) และในจำนวนนี้มีถึง 51 รายการที่จะไม่ต้องเสียภาษีภายในประเทศเลย ส่วนอีก 13 รายการก็ไม่ต้องเสียภาษีขาออก ด้วยเช่นกัน

กล่าวได้ว่ารายได้สำคัญของสยาม(กษัตริย์ เจ้า และขุนนาง) ก็สูญหายไปเป็นจำนวนมากด้วยสน ธิสัญญาระหว่างประเทศฉบับนี้ และกล่าวได้ว่ารายได้สำคัญที่เข้ามาแทนที่ในตอนแรก คือ “ฝิ่น” การพะนัน ตลอดจนภาษีอบายมุขด้านอื่นๆ ฯลฯ และต่อมาจะชดเชยด้วยการผลิต “ข้าว” เพื่อส่งออกขนานใหญ่ ที่จะมาเห็นผลชัดเจน ในกลางรัชสมัยของ รัชกาลที่ 5

ดังนั้น แม้สนธิสัญญาเบาว์ริง จะทำให้การค้าและการผูกขาดของรัฐ หรือที่รู้จักกันในนามกิจการของ “พระคลัง สินค้า” ต้องสิ้นสุดลงก็ตาม แต่ราชสำนัก เจ้านาย ขุนนางสยาม ก็ผันตัวไปสู่รายได้จาก “การค้าเสรี” ในรูปแบบใหม่ และในขณะเดียวกันก็ยังคงรักษารูปแบบบางประการของการให้สัมปทานหรือการผูกขาดของเจ้าภาษีอากรแบบเดิมอยู่ (ฝิ่นและบ่อนเบี้ยการพะนัน)

การเจรจาสนธิสัญญาเบาว์ริง

เซอร์ จอห์น เบาว์ริง อยู่ในกรุงสยาม 1 เดือน และใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์เจรจากับ “ผู้สำเร็จราชการฝ่ายสยาม” 5 ท่านที่ได้ รับการแต่งตั้งโดย “กุศโลบายทางรัฐประศาสนศาสตร์” ของพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คือ

(1) พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงวงศาธิราชสนิท

(2) สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาปยุรวงศ์ หรือ สมเด็จเจ้าพระยาองค์ใหญ่ ผู้มีอาญาสิทธิ์บังคับบัญชาได้สิทธิขาดทั่วทั้งพระราชอาณาจักร

(3) สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิไชยญาติ หรือสมเด็จเจ้าพระยาองค์น้อย ผู้มีอำนาจบังคับบัญชาทั่วทั้งพระนคร

(4) เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) สมุหพระกระลาโหม บังคับบัญชาหัวเมืองชายทะเลปากใต้ฝ่ายตะวันตก

(5) เจ้าพระยารวิวงศ์ (ต่อมาเปลี่ยนเป็น “ทิพากรวงศ์” หรือ ขำ บุนนาค) พระคลัง และสำเร็จราชการกรมท่า บังคับบัญชาหัวเมืองฝ่ายตะวันออก

น่าสนใจที่ว่าทางฝ่ายสยามมีถึง 5 ท่าน (ตามปกติในแง่ของประเพณีโบราณ หากจะมีการแต่งตั้งทูต เป็นผู้แทน ก็มักจะมีเพียง 3 เท่านั้น) ซึ่ง ต่างก็ตระหนักดีว่านี่เป็นความเปลี่ยนแปลง อย่างใหญ่หลวง ใน 5 ท่านนี้ บุคคลที่มีอำนาจอย่างมากในยุคนั้น คือ สมเด็จเจ้าพระยาองค์ใหญ่ และ สมเด็จเจ้าพระยาองค์น้อย ที่มีผลประโยชน์อยู่กับระบอบเดิมตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 และมักถูกตั้งข้อสงสัยว่าขัดขวางการเจรจากับตัวแทนของอังกฤษและอเมริกามาก่อนหน้า ที่เบาว์ริงจะเข้ามา

แต่การที่พระจอมเกล้าฯ ทรงสามารถแต่งตั้งให้บุคคลทั้งสอง ต้องเข้าร่วมเป็นตัวแทนสยามเจรจา และต้องตกลงกับเบาว์ริงจนได้ ก็หมายถึงการที่ “ทรงเล่นเกม” ได้ถูก (“กุศโลบายทางรัฐประศาสน ศาสตร์”) หรือไม่ก็ทรงมีอำนาจอย่างสมบูรณ์ของพระองค์เอง น่าเชื่อว่าในด้านหนึ่งจากความ แก่ชราและโรคภัยที่เบียดเบียนอยู่ ก็ทำให้สมเด็จเจ้าพระยาองค์ใหญ่ (หัวหน้าตระกูลบุนนาค) ต้องคล้อยตามไปกับการเจรจาสนธิสัญญาครั้งนี้ ท่านสิ้นชีวิตไปในวันที่ 25 เมษายน 2398 (1855) หรือเพียง 7 วันหลังจากประทับตราในสนธิสัญญาร่วมกับเบาว์ริง

และก็น่า เชื่อว่าการค้าแบบใหม่ที่เกิดขึ้นนี้ ไม่ได้ทำให้ฝ่ายเจ้าและขุนนางเดิมต้องเสียประ โยชน์ไปมากมายแต่อย่างใด ที่สำคัญคือบุตรชายของท่าน คือ เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ “สมุหพระกระลาโหม” ก็เห็นด้วย อย่างยิ่งกับความสัมพันธ์แบบใหม่นี้ และเป็นตัวจักรสำคัญในการบรรลุซึ่งการเจรจา

อนึ่ง สนธิสัญญาเบาว์ริงได้กลายเป็นแม่แบบของการที่ประเทศอื่นๆ ที่สำคัญๆ (ยกเว้นจีน ที่หมดอำนาจไปแล้วในศตวรรษนี้) ติดตาม เข้ามาทำสัญญาแบบเดียวกันอย่างรวดเร็ว มีทั้งหมด 14 ประเทศที่ทำสนธิสัญญากับสยามตามลำดับ

1856 สหรัฐอเมริกา

1856 ฝรั่งเศส

1858 เดนมาร์ค

1859 โปรตุเกศ

1860 เนเธอร์แลนด์

1862 เยอรมนี

1868 สวีเดน

1868 นอรเวย์

1868 เบลเยี่ยม

1868 อิตาลี

1869 ออสเตรีย-ฮังการี

1870 เสปน

1898 ญี่ปุ่น

1899 รัสเซีย

พระราชอาณาจักรและราษฎรสยาม -- หนังสือ 2 เล่มของเบาว์ริง

เมื่อประสบความสำเร็จในการทำสัญญากับสยามแล้ว เบาว์ริงกลับไปฮ่องกง และก็เขียนหนังสือขึ้นมาหนึ่งเรื่อง คือ The Kingdom and People of Siam ท่านเขียน “คำนำ” เสร็จเมื่อเดือนสิงหาคม 2399 (1856) ประมาณ 1 ปีครึ่งหลังจากกลับออกไปจากเมืองไทย และตีพิมพ์เป็นครั้งแรกที่กรุงลอนดอน เมื่อปี 2400 (1857) หรือสองปีภายหลังการลงนามสนธิสัญญา นับเป็นหนังสือสำคัญที่สุดเล่มหนึ่ง เกี่ยวกับสยามประเทศ หนังสือชุดนี้มี 2 เล่ม หนาถึงเกือบ 1 พันหน้า มีทั้งหมด 16 บทพร้อมทั้งภาคผนวก อีก 7 ตอนด้วยกัน

หนังสือชุดนี้ เต็มไปด้วยเรื่องราวต่างๆของสยาม ตั้งแต่เรื่องสภาพภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ประชากร ผลิตผลธรรมชาติ ประเทศราชของสยาม ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ไปจนถึง “บันทึกประจำวัน 1 เดือนเต็ม” ของเบาว์ริงเอง ที่จดไว้อย่างละเอียดตั้งแต่เรือมาถึงสันดอน ปากน้ำเจ้าพระยาเมื่อ 24 มีนาคม จนถึงวันลงนามสนธิสัญญา 18 เมษายน และออกเรือจากสยาม ไปเมื่อ 24 เมษายน รวมแล้ว 1 เดือนเต็ม

เซอร์จอห์น เบาว์ริง เป็นคนละเอียดละออ (รู้เรื่องระบบบัญชี) ดังนั้น จึงเก็บรายละเอียด ข้อมูลสยามมากมายเหลือจะคณานับ นอกเหนือจากเนื้อหาที่น่าสนใจแล้ว เบาร์ริงยังมีรูปประกอบ คับคั่งอีกด้วย ทั้งหมด 19 รายการ มีรูปงามๆ ของแม่น้ำเจ้าพระยา วัง วัด พระแก้วมรกต ช้างเผือก และพระฉายาทิศลักษณ์ ของ “พระเจ้ากรุงสยาม” รวมทั้ง “แผนที่สยามประเทศ” สมัยนั้น

ดังที่กล่าวแล้วว่า หนังสือชุดนี้พิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 1857 (พ.ศ. 2400) ที่กรุงลอนดอน และกลายเป็นหนังสือหายาก มีคนเล่นกันแบบเก็บ “ของเก่า” ทำให้ไม่สะดวกสำหรับการศึกษา ค้นคว้า แต่น่าดีใจที่ว่าในปี พ.ศ. 2512 (1969) สำนักพิมพ์อ๊อกซฟอร์ดได้นำมาตีพิมพ์ซ้ำ และให้ “ศ. เดวิต วัยอาจ” เขียนคำนำให้ แต่ในการพิมพ์ครั้งหลังนี้ได้ตัดบางอย่างที่สำคัญทิ้งไปอย่างน่าเสียดาย นั่นคือพระราชลัญจกรตัวหนังสือขอมเขมร และจีนของพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงประทับตีตรา ไปใน “พระราชสาสน (จดหมาย)” ถึงเบาว์ริง

สำหรับตราตัวหนังสือจีนนั้นอาจจะเป็นตราเดียวกับที่ทรงประทับเวลาไป “จิ้มก้อง” กรุงปักกิ่ง ซึ่งมีการส่งเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2396 (1853) ก่อนหน้าการทำสัญญาเบาว์ริง 2 ปี และใช้พระปรมาภิไธยเป็นภาษาและตัวหนังสือจีนว่า “แต้ปิ๋ง” คือพระแซ่ “แต้” พระนาม “ปิ๋ง” ตามเสียงแต้จิ๋ว (หรือ “เจิ้ง” ในเสียงจีนกลาง) พระนามว่า “ปิ๋ง” หรือ “หมิง” แปลว่า “สว่าง”

นี่เป็นธรรมเนียมมาแต่สมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี (ตากสิน) จนกระทั่งรัชกาลที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ที่กษัตริย์ทุกองค์จะส่ง “จิ้มก้อง” ไปเมืองจีนและใช้ “พระแซ่แต้” ในการติด ต่อกับกรุงปักกิ่ง สำหรับจักรพรรดิจีนที่พระจอมเกล้าฯ ทรงติดต่อด้วย คือ "พระเจ้าฮำฮอง" (Xianfeng 1851-1861) ซึ่งมีสนมเอกลือชื่อ "ซูสีไทเฮา" จีนกำลังอ่อนแอมาก และในที่สุดเมื่อสยาม คบฝรั่ง ไทยก็เลิกส่ง "จิ้มก้อง" แถมรัชกาลที่ 4 "ทรงสวด" ด้วยว่าถูกจีนหลอกมาหลายร้อยปี

เบาว์ริงได้เอกสารหลักฐานของไทยสมัยนั้นไปมากมาย ไม่ว่าสำเนาศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง (แถมพระจอมเกล้าฯ ทรงแปลเป็นภาษาอังกฤษให้เป็นตัวอย่างไป 1 บรรทัดด้วยว่า My father named Surindradity, my mother, Lady Suang, my elder brother…) เบาว์ริงได้ บทความประวัติศาสตร์สยาม ที่รัชกาลที่ 4 ทรงแต่งเองเป็นภาษาอังกฤษ ส่งไปตีพิมพ์มาก่อนแล้วที่เมืองจีน เบาว์ริงนำพระราชสาส์นส่วนพระองค์มารวมตีพิมพ์ไว้ด้วย เช่น ในบทที่ 2 (หน้า 65-66) ของเล่มแรก ที่รัชกาลที่ 4 ทรงเล่าไปว่า “ต้นตระกูล” ของพระองค์ท่านเป็น “มอญปนจีน” อย่างไร โยงกลับไปมอญหงสาวดี (พะโค) ที่อพยพมาในสมัยพระนเรศวร สืบลูกหลานมาสมัยโกษาปาน แล้วก็ไปตั้งหลักแหล่งที่ “สะแกกรัง” (อุทัยธานี) เมืองชายแดน โดยทรงกล่าวถึงพระปฐมบรมมหาชนกนาถ (บิดาของรัชกาลที่ 1) ไว้ว่า

“...ท่านผู้เป็นอภิชาตบุตร คนดังกล่าวได้ถือกำเนิดขึ้นที่นั่น และได้กลายเป็นผู้มีความชำนาญ และมีความรู้ความสามารถในทางราชการ ท่านได้ออกจาก ‘สะเกตรัง’ ไปยังอยุธยา ที่ซึ่งได้รับ คำแนะนำ ให้เข้ารับราชการ และได้สมรสกับธิดารูปงามของครอบครัวคหบดีจีน ที่ร่ำรวยที่สุด ในย่านที่อยู่อาศัยของชาวจีนภายในกำแพงเมือง ตรงมุมด้านตะวันออกเฉียงใต้ของอยุธยา...”

นี่เป็นข้อมูลที่มีเสน่ห์และน่าสนใจมากจากหนังสือสองเล่มของเบาว์ริง เราจะไม่พบข้อมูลเช่นนี้ ในเอกสารประวัติศาสตร์ของไทย ที่ให้ภาพ “ผู้นำใหม่” รุ่นหลังการเสียกรุงศรีอยุธยา พ.ศ. 2310 ที่ลงมาตั้งกรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์นั้นเป็นมี “ความหลากหลาย” ทางชาติพันธุ์ เป็น “จีนปนไทย” อย่างในกรณีของพระเจ้ากรุงธนบุรี (ตากสิน) ที่มีบิดาเป็นจีนแต่มารดาเป็นไทย ในขณะที่พระพุทธยอดฟ้า (รัชกาลที่ 1) มีบิดาเป็นไทย (มอญ) แต่มารดาเป็นจีน

นอกเหนือจากเรื่องประวัติศาสตร์อันละเอียดอ่อน และหาไม่ได้ในฉบับภาษาไทยเองแล้ว ยังมีทั้งเรื่องกฎหมาย เรื่องการพิพากษาคดีความ เรื่องทาส เรื่องประเพณี อะไรต่อมิอะไร ที่เบาว์ริงนำเอาไปจากบางกอกหรือหารวบรวมได้เองในเมืองจีน (ฮ่องกงของท่านในสมัยนั้น มีทั้งนักปราชญ์ราชบัณฑิตฝรั่ง มิชชันนารี การตีพิมพ์ หนังสือพิมพ์และวารสาร อยู่คับคั่ง นับว่าเป็นโลกของ “ความรู้สมัยใหม่”) สิ่งเหล่านี้ เบาว์ริงทั้งรวบรวมทั้งให้ทำการแปล เป็นภาษาอังกฤษ แล้วก็ตีพิมพ์ไว้ในหนังสือ 2 เล่มของท่านอย่างละเอียด นี่ทำให้หนังสือของท่านน่าสนใจอย่างยิ่ง

เบาว์ริง “ตัด ต่อ และแปะ” กลายเป็นเสมือน “คู่มือประเทศสยาม” อย่างดี ผงาดขึ้นมาเคียงบ่าเคียงไหล่กับหนังสือคลาสิกอย่างของลาลูแบร์สมัยอยุธยา (Loubere, Simon de la, Du Royaume de Siam. Amsterdam, 1691, Description du Royaume de Siam, Amsterdam, 1700, 1713, ซึ่ง สันต์ ท. โกมลบุตร. แปลไว้ใน จดหมายเหตุลาลูแบร์ฉบับสมบูรณ์. กทม. สำนักพิมพ์ก้าวหน้า, 2510

หรืออีกเล่มหนึ่งของสังฆราชปัลเลอกัวซ์ (Bishop Pallegoix: Description du Royuame Thai ou Siam, 1852) ที่แปลเป็นไทยแล้ว คือ “เล่าเรื่องกรุงสยาม” ท่านสังฆราชใช้ทั้งชีวิตในกรุงสยาม แต่เบาว์ริงอยู่ในเมืองหลวงของเราเพียง 1 เดือนเท่านั้นเอง หนังสือของฝรั่งเศสทั้งสองเล่มนี้ เบาว์ริงใช้ทั้งอ้าง ทั้งอิง และทั้งยกข้อความมาใส่ไว้ในหนังสือใหม่ของท่านอย่างมากมาย

การแปลหนังสือของเบาว์ริงเป็นภาษาไทย (ฉบับสมบูรณ์)

หนังสือของเซอร์ จอห์น เบาว์ริง ที่แม้จะปรากฎในภาษาอังกฤษมาเกือบ 150 ปีแล้ว และมีการนำมาตีพิมพ์ซ้ำอีกดังกล่าวข้างต้น แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายว่าฉบับแปลที่ “สมบูรณ์” ในภาษาไทยหามีไม่ อาจจะเป็นเพราะความใหญ่โตหนาตั้งเกือบ 1000 หน้า อาจจะเป็นเพราะเป็นเรื่อง “ไทยๆ” ที่คนไทยเราเองมักจะมองข้ามไป กลายเป็น “ใกล้เกลือกินด่าง” ซึ่งทำให้ชาวต่างชาติจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะในวงการ “อุษาคเนย์ศึกษา” ดูจะรู้เรื่องของเราดีกว่าตัวเราด้วยซ้ำไป จะมีก็แต่เพียงข้าราชการกรมศิลปากรและอาจารย์น้อยท่านเท่านั้น ที่ให้ความสนใจและแปลบางบทออกมาเป็นครั้งคราว

ดังนั้น จากความสำคัญของหนังสือของเบาว์ริงทั้งสองเล่ม และเนื่องในโอกาสมหามงคล คือ ครบรอบ 200 ปีแห่งพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 พ.ศ. 2547-2547 (2804-2004) นี้ ทำให้เราในนามของสองมูลนิธิ คือ มูลนิธิโตโยต้า ประเทศไทย ซึ่งมี ฯพณฯ พลตำรวจเอก เภา สารสิน เป็นประธาน และมูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ซึ่งมี ศ. เสน่ห์ จามริก เป็นประธาน ได้มีความเห็นร่วมกันว่าการเฉลิมฉลองที่ดีที่สุด คือ การจัดทำหนังสือดีๆสำหรับโอกาสดังกล่าว และนี่ก็เป็นที่มาของการดำเนินการให้มีการแปลเบาว์ริงให้สมบูรณ์ทั้งหมดเป็นครั้งแรก

ในเบื้องต้น เราได้สำรวจเอกสารที่แปลมาจากหนังสือของเบาว์ริงเพื่อดูว่ามีการแปลข้อความตอนใดเป็นภาษาไทยแล้ว พร้อมกับเสาะหาเอกสารต้นฉบับภาษาไทย เพื่อเปรียบเทียบกับต้นฉบับที่เบาว์ริงได้อ้างอิงถึง พบว่าข้อความในหนังสือของเบาว์ริงเล่มแรกคล้ายคลึงกับหนังสือของลาลูแบร์และสังฆราชปัลเลอกัวซ์ รวมทั้งหนังสือชุดประชุมพงศาวดาร เช่น ภาคที่ 32 อธิบายเรื่องเบื้องต้นที่ไทยจะเป็นไมตรีกับฝรั่งเศส ภาคที่ 39 เรื่องจดหมายเหตุของพวกบาทหลวงฝรั่งเศสฯ ตอนแผ่นดินพระเจ้าเอกทัศ ครั้งกรุงธนบุรีและครั้งกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น เป็นต้น หากพิจารณาอย่างผิวเผินจะคิดว่าข้อความในหนังสือเล่ม 1 ไม่มีสิ่งแปลกใหม่ จึงไม่พบว่ามีผู้ใดแปลข้อความจากเล่มนี้ สิ่งที่เห็นว่าเผยแพร่กันมากกลับเป็นพระบรมสาทิศลักษณ์ที่ปรากฏอยู่ในตอนต้นของหนังสือ

ข้อความในหนังสือเบาว์ริงที่มีการแปลเป็นภาษาไทยเผยแพร่อย่างมากหลายมาตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว คือ บทที่ 16 Personal Journal of Sir John Bowring’s Visit to Siam อันเป็นตอนสำคัญที่นายเพ่ง พ.ป. บุนนาค ได้แปลเป็นหนังสือเรื่อง “เซอร์ยอนโบว์ริงเข้ามาเมืองไทย” เมื่อ พ.ศ. 2456 และมีการตีพิมพ์อีกครั้งเมื่อ พ.ศ. 2509 ต่อมา ประยุทธ สิทธิพันธ์ ได้คัดมาเป็นบทหนึ่งในหนังสือเรื่อง “สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้ากรุงสยาม (เล่มปลาย)” (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์สยาม, 2515) เพื่อให้เรื่องราวนั้นแพร่หลายยิ่งขึ้น สำนวนแปลเป็นสำนวนโบราณตามยุคสมัย อย่างไรก็ตาม กรมศิลปากรได้มอบหมายให้นางนันทนา ตันติเวสส ซึ่งขณะนั้นเป็นนักอักษรศาสตร์ 5 ฝ่ายแปลและเรียบเรียง กองวรรณคดีและประวัติศาสตร์ แปลข้อความตอนนี้ใหม่เป็นสำนวนปัจจุบัน โดยมีเรื่อง Sir John Bowring’s Mission 1855 อันเป็นหัวข้อสุดท้ายในบทที่ 15 Diplomatic and Commercial Relations of Western Nations with Siam มาเป็นบทนำของหนังสือ “บันทึกรายวันของเซอร์ จอห์น เบาริง” เผยแพร่เมื่อ 2532

กองวรรณคดีและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากรเป็นหน่วยงานที่จัดแบ่งเนื้อหาในหนังสือเบาว์ริง เล่ม 2 จัดแปลออกเป็นตอนๆ ให้สอดคล้องกับความเข้าใจเรื่องประวัติศาสตร์ชาติไทย โดยมีนันทนา ตันติเวสส เป็นผู้แปล และตีพิมพ์เผยแพร่ในช่วงปี พ.ศ. 2527-2535 เริ่มต้นจากส่วนที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุธยา ดังนี้

2527 ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศสยามกับต่างประเทศในสมัยอยุธยา แปลและเรียบเรียงจากบางตอนในบทที่ 15 Diplomatic and Commercial Relations of Western Nations with Siam (คือ ตอนที่ 1-4 คณะทูตของโปรตุเกส ดัตช์ ฝรั่งเศสและสเปน) ของเซอร์ จอห์น เบาว์ริง กับ "Seventeenth Century Japanese Documents about Siam" ของยูเนโอะ อิชิอิ (Yoneo Ishii, Journal of the Siam Society, 59:2, July 1971)

2528 เมืองประเทศราชของสยามในสมัยรัตนโกสินทร์ แปลและเรียบเรียงจาก บทที่ 14 Dependencies upon Siam ของเซอร์ จอห์น เบาว์ริง และ Kedah-Siam Relations 1821-1905 ของชารอม อาหมัด

2532 รวมเรื่องแปลหนังสือและเอกสารทางประวัติศาสตร์ ชุดที่ 1 “คณะทูตมิสเตอร์ครอว์เฟิด พ.ศ. 2365 (ค.ศ. 1822)” หน้า 1-56. แปลจากบางส่วนใน บทที่ 15 คือ ตอนที่ 5 คณะทูตของอังกฤษ

2532 บันทึกรายวันของ เซอร์ จอห์น เบาว์ริง แปลและเรียบเรียง จากบางตอนในบทที่ 15 คือ ตอนที่ 7 คณะทูตของเซอร์จอห์น เบาว์ริง และบทที่ 16 บันทึกส่วนตัวของเซอร์จอห์น เบาว์ริง

2535 รวมเรื่องแปลหนังสือและเอกสารทางประวัติศาสตร์ ชุดที่ 2. “ประวัติของคอนสแตนติน ฟอลคอน” หน้า 57-96 แปลจาก ภาคผนวก E History of Constance Phaulcon

ส่วนสำคัญในหนังสือของเบาว์ริงที่ไม่ใคร่มีผู้กล่าวถึง คือ ข้อมูลที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเตรียมไว้ให้เบาว์ริง เป็นการนำเสนอทั้งเรื่องราวของประเทศสยามและพระราชวงศ์ วินัย พงศ์ศรีเพียร แห่งมหาวิทยาลัยศิลปากร จึงได้นำพระราชนิพนธ์อันเป็นข้อสังเกตโดยสังเขปเกี่ยวกับประวัติศาสตร์สยาม ที่เป็นภาคผนวก A ของหนังสือมาแปลเป็น “พงศาวดารสยามอย่างย่อ” ในหนังสือเรื่อง ความยอกย้อนของอดีต : พิพิธนิพนธ์เชิดชูเกียรติ พลตรี หม่อมราชวงศ์ศุภวัฒน์ เกษมศรี (กรุงเทพฯ พฤศจิกายน 2537, หน้า 71-106) เพื่อให้คนไทยได้ทราบบทพระราชนิพนธ์เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทยที่มีรายละเอียดบางประการต่างไปจากสิ่งที่คุ้นเคยกันมา และนับจาก พ.ศ. 2537 เป็นต้นมา ก็ไม่มีผู้ใดแปลข้อความในหนังสือชุดนี้อีก

สำหรับภาคผนวกอื่นๆ นั้น บางชิ้นเป็นเอกสารที่มีต้นฉบับเป็นทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ บางชิ้นเป็นภาษาอังกฤษ มีเพียงเรื่องของฟอลคอนเท่านั้นที่เบาว์ริงแปลมาจากต้นฉบับภาษาฝรั่งเศส สำหรับเอกสารต้นฉบับที่มีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ คือ ประกาศเรื่องฝิ่นในรัชกาลที่ 3 กับ อาการประชวรและสวรรคตของพระนางเจ้าโสมนัสวัฒนาวดีนั้น เราได้พยายามหาต้นฉบับเอกสารภาษาไทยมาศึกษา เพื่อรักษาสำนวนการเขียนแบบโบราณให้คงไว้ให้ได้มากที่สุด

เบาว์ริงเป็นทั้งนักเขียนและนักภาษา ผลงานของเขาจึงเต็มไปด้วยการอ้างอิงถึงผลงานของผู้อื่นและคำศัพท์หลากภาษาเป็นจำนวนมาก ยากที่จะหาผู้แปลเพียงคนเดียวแปลผลงานของเบาว์ริงได้อย่างครบถ้วนในอัตราความเร็วเดียวกับที่เบาว์ริงเขียน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องเกี่ยวกับไทยๆ ที่ดูว่าน่าจะง่าย แต่กลับเป็นสิ่งที่ยากอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะเบาว์ริงแปลเรื่องราวของไทยมาจากเอกสารภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศสและละติน การแปลกลับไปกลับมาทำให้มีบางสิ่งคลาดเคลื่อนไปจากต้นฉบับภาษาไทย เพราะได้ผ่านการตีความไปเป็นภาษาอื่นโดยคนต่างวัฒนธรรมไปแล้ว หากใช้คำศัพท์หรือสำนวนแบบไทยๆ แทนที่ข้อเขียนของเบาว์ริง โดยไม่แปลก็จะทำให้เสีย “ความ” ดังที่เบาว์ริงเข้าใจ

ดังนั้น การตั้งใจแปลความโดยใช้ถ้อยคำและสำนวนแบบไทย จึงอาจเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมในบางตอน และเป็นอุปสรรคสำคัญประการหนึ่งในการแปล เพราะจำเป็นต้องทบทวนเรื่องการใช้ถ้อยคำหลายครั้ง จากที่เคยตั้งใจว่าจะแปลให้คนไทยอ่านโดยใช้คำที่คนไทยคุ้นเคย ก็ทำไม่ได้เพราะเป็นคำที่ไม่ตรงกับการใช้ของเบาว์ริง ทั้งยังแฝงนัยที่ดูถูกเหยียดหยามผู้อื่นเอาไว้ด้วย เช่น คำว่า Cochin Chine กับ Cambodia ที่ในเอกสารพงศาวดารของไทยเรียกว่า ญวน กับ เขมร เป็นต้น

คำศัพท์ภาษาต่างๆ ที่แสดงให้เห็นความสามารถทางด้านภาษาของผู้เขียนก็เป็นปัญหาสำคัญอีกเช่นกัน เพราะผู้แปลไม่มีความรอบรู้มากพอที่จะเข้าใจทุกอย่างได้ แม้เป็นคำเล็กน้อยเพียงไม่กี่คำ ก็ทำให้ต้องวิ่งรบกวนบรรดานักวิชาการผู้มีความรู้ความชำนาญเฉพาะทางจำนวนมาก ในส่วนที่เกี่ยวกับภาษามอญ ภาษาจีน ภาษาโปรตุเกส ภาษาดัตช์และภาษาละติน เพราะปัญหาเรื่องคำศัพท์มิได้ยุติเพียงว่า คำศัพท์นั้นแปลว่าอะไรเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงความรู้ความเข้าใจเรื่องประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่ปรากฏเป็นส่วนหนึ่งของคำศัพท์นั้นด้วย ความยากและซับซ้อนเช่นนี้ประกอบกับเวลาที่จำกัด ทำให้ผู้แปลจัดทำเชิงอรรถอธิบายความได้เพียงเท่าที่จำเป็น ปล่อยข้อสงสัยหลายตอนไว้ให้เป็นการบ้านของผู้อ่านที่จะได้ค้นหาความกระจ่างด้วยตนเอง

ปัญหาอีกประการหนึ่งของผู้แปลเกิดจากการอธิบายความและอ้างอิงของผู้เขียน ที่ได้รีบทำงานชิ้นนี้อย่างเร่งด่วน จึงมิได้เคร่งครัดกับการอ้างอิงเหมือนบรรดานักวิชาการในปัจจุบันที่มีระบบการอ้างอิงอย่างชัดเจนเพียงระบบเดียว แม้จะเห็นได้ชัดว่าเบาว์ริงใช้เชิงอรรถ ทั้งอ้างอิงและอธิบายความ แต่นั่นก็เป็นส่วนน้อย หากแต่มีการอ้างอิงในเนื้อความเป็นอันมาก โดยเบาว์ริงระบุที่มาของข้อมูลไว้ในวงเล็บด้านท้ายของย่อหน้า และบางคราวก็อธิบายแทรกไปในเนื้อความโดยใช้เครื่องหมายวงเล็บในกรณีที่เขาเขียนข้อความนั้นเอง แต่ต้องการให้ผู้อ่านชาวตะวันตกเข้าใจ บางครั้งเขียนอธิบายในวงเล็บสี่เหลี่ยมเพราะเป็นการอ้างอิงในผลงานของคนอื่น บางครั้งใช้ทั้งตัวเอนและวงเล็บเพื่ออธิบายความ ทำให้ผู้แปลที่จำเป็นต้องแทรกความในเนื้อเรื่องบ้างจำเป็นต้องใช้เครื่องหมายวงเล็บปีกกาแทนการใช้การอธิบายและเขียนว่า ผู้แปล ไว้ในวงเล็บ เพื่อมิให้ดูรกรุงรังจนเกินไป

การแปลงานชิ้นนี้ให้สำเร็จทันเวลาที่จะเฉลิมฉลองวาระสำคัญ 2 วาระในเวลาเดียวกัน คือ 200 ปี พระจอมเกล้าฯ (18 ตุลาคม 2004) กับ 150 ปีสนธิสัญญาเบาว์ริง (18 เมษายน 2005) จึงต้องบังคับและขอร้องให้หลายท่านมาช่วยกันแปลงานที่ยังไม่เคยมีการแปลมาก่อน ในขณะเดียวกัน ก็ติดต่อขออนุญาตทำผลงานที่แปลแล้วมาพิมพ์รวมไว้ด้วยกันโดยไม่มีการแปลใหม่ แต่ขอปรับรูปแบบให้เหมือนกันทั้งสองเล่ม

กล่าวโดยสรุปว่า หนังสือเล่มที่ 1 เป็นการแปลใหม่ทั้งเล่มโดยผู้แปล 3 คน คือ อนันต์ ศรีอุดม, กัณฐิกา ศรีอุดม และพีรศรี โพวาทอง ส่วนหนังสือเล่มที่ 2 นั้น เป็นการรวมผลงานที่ได้มีการเผยแพร่มาแล้ว ของนันทนา ตันติเวสส สำหรับภาคผนวกนั้น มีทั้งการรวบรวมงานแปลที่ได้พิมพ์เผยแพร่แล้ว ของวินัย พงศ์ศรีเพียร การรวบรวมเอกสารโบราณและการแปลใหม่ โดยกัณฐิกา ศรีอุดม, ศศิพันธ์ ตรงยางกูร และคมคาย อิทธิถาวร

เราหวังว่าการเฉลิมฉลองทางด้านวิชาการในโอกาส 200 ปีของพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.ศ. 2347-2547 (1804-2004) งานนี้จะเป็นประโยชน์ต่อสังคมไทยของเราโดยรวม และขอขอบคุณท่านทั้งหลายที่ร่วมกันทำให้งานนี้สำเร็จลุล่วงลงไปได้ ไม่ว่าจะเป็นมูลนิธิฯ ทั้งสอง ที่เอ่ยนามมาแล้ว และบริษัทโตโยต้า ประเทศไทย ตลอดจนนักวิชาการ ผู้แปล และผู้ร่วมงานจำนวนมาก อาทิ

อธิบดีกรมศิลปากร ผู้อนุญาตให้นำผลงานแปลมารวมพิมพ์ นันทนา ตันติเวสส, วินัย พงศ์ศรีเพียร,อนันต์ ศรีอุดม, พีรศรี โพวาทอง, ศศิพันธุ์ ตรงยางกูร, คมคาย อิทธิถาวร, ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์, ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ, ทรงยศ แววหงษ์, ธีรวัติ ณ ป้อมเพชร, สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ ท่านผู้หญิงวรุณยุพา สนิทวงศ์ฯ, วรพร ภู่พงศ์พันธุ์ ตลอดจนมิตรสหายในวงวิชาการต่างประเทศ อาจารย์ Geoff Wade, Maureen and Michael Aung Thwin, Benedict Anderson, Kyaw Yin Hlaing, Nai Sunthorn ปรีชา โพธิ และทีมงานของโตโยต้ากับ “ดรีมแคชเชอร์” ที่ทำให้เบาว์ริงปรากฏขึ้นมาเป็นจริงอีกครั้งหนึ่งของ “อดีต” ของสังคมไทย

สาวตูดไว ใจเยี่ยงโจร !

ตํานานพื้นบ้าน ที่ไม่เหน็ดเหนื่อย กับการจี้ปล้นทางกาย และทางใจ

คนโบราณมักกล่าวถึง "สาวตูดไว" เมื่อพบเจ้าหล่อนที่ออกหน้าออกตา ด่วนใจ "จับ" สุภาพบุรุษรูปงาม ที่มักจะมีฐานะทางเศรษฐกิจที่ดีกว่าตัวหล่อนเอง นอกจากนี้ก็มักจะต้องมีการ แย่ง ชิงตัวสุภาพบุรุษจากสุภาพสตรีกระกูลสูง ที่หมั้นหมายกันไว้แล้ว

ม.ร.ว. คึกฤทธิ ปราโมช ได้เขียนบทไว้อย่างดุเดือดใน สี่แผ่นดิน ...

"อ้าว ! ก็พี่เนื่องเขาบอกว่าจะแต่งงานกับลูกสาวแม้ค้าขายข้าวแกงพ่อเป็นเจ๊กไงล่ะ...
ฉันไม่เห็นใจ ! ฉันไม่ยอมเข้าใจ ! มีอย่างรึ อยู่ๆก็ลุกขึ้นมีเมียไม่รู้เนื้อรู้ตัว ฉันเคยพูดหลายครั้งแล้วว่าพี่เนื่องเป็นคนเหลวแหลกไม่มีสติ คราวนี้เห็นหรือยังล่ะพลอย คิดถึงใจฉันบ้างซี ได้พี่สะใภ้เป็นลูกคนขายข้าวแกง ทีนี้ฉันจะไปดูหน้าใครได้ ถ้ามีใครเขาถามขึ้นมา ฉันจะทําอย่างไร"

นางสมบุญ สาวสวยจากนครสวรรค์ผู้ "จับ" พี่เนื่องได้นี้ จึงถูกมองโดยชนชั้นศักดินาอย่าง ม.ร.ว. คึกฤทธิ ปราโมช ว่าตํ่าช้า และเข้าข่าย "สาวตูดไว" อย่างหาตําหนิมิได้ทีเดียว

แต่ถึงกระนั้น ตํานาน "สาวตูดไว" ก็ยังเป็นที่นิยมชมชอบในหมู่สามัญชนและชนชั้นล่างอยู่มิน้อยทีเดียว ยิ่งในสังคมที่มีความเหลื่อมลํ้าทางเศรษฐกิจมากเท่าใด "สาวตูดไว" ก็ยิ่งเป็นที่นิยมมากเท่านั้น

คุณป้าท่านหนึ่งที่ตลาดนํ้าพุ มักจะร้องเพลง "แต๊ะอั๋ง แต๊ะเอีย" ของพุ่งพวง ดวงจันทร์ เมื่อยามคึงคะนอง (จังหวะสามช่า)

"หนูอยาก จะได้แต๊ะเอีย หนูยอมให้เสี่ยเขาแตะแต๊ะอั๋ง
เสี่ยจ๋ามาหาหนูมั่ง ไม่มาแต๊ะอั๋ง ก็ควรจะส่งแต๊ะเอีย !"

นอกจากเพลงลูกทุ่งที่มักจะมี "สาวใช้เกรด A" ขโมยผัวของหญิงไฮโซแล้ว ยังมีเพลงพื้นบ้านอย่าง "มะเมี๊ย" สาวพม่าที่เสี่ยงโชค"จับ" เจ้าชายเชียงใหม่

"มะเมี๊ยเป็นสาวแม้ค้าชาวพม่า เมืองมะละแม่ง
งามลํ้าเหมือนเดือนส่องแสง คนมาแย่งหลงฮักสาว
มะเมี๊ยบ่เคยฮักใผ๋ มอบใจ๋ให้หนุ่มเชื้อเจ้า
เป็นลูกอุปราชชาวเชียงใหม่"

นิยายพื้นบ้านหลายเรื่องที่นํามาทําเป็นภาพยนตร์อย่าง ดาวพระศุกร์ หรือ บ้านทรายทอง ก็เป็นเรื่องราวและความหวังของชนชั้นล่างที่จะนําความมั่งมีมาให้ครอบครัว พจมาน สว่างวงศ์ ไม่เพียงเป็นแค่ลูกเลี้ยงเท่านั้น แต่เป็นสัญลักษณ์และ ความหวังของชนชั้นที่ถูกเอาเปรียบทางสังคมเอาทีเดียว เธอคือผู้บริสุทธิ์ ที่ถูกรังแก และการที่เธอได้ครอบครองบ้านทรายทองในที่สุดนั้น ก็เป็นสิ่งที่ชาวบ้านเห็นว่ายุติธรรมแล้ว

ในทางกลับกัน พวกไฮโซ มักจะมอง "สาวตูดไว" ว่ามันไม่ต่างจากการเป็น "โจร" ท่านคึกฤทธิ ปราโมช เล็งเห็นว่าความรักกับฐานะทางสังคมนั้นมันแยกออกจากกันไม่ได้ และเป็นส่วนหนึ่งของความเป็นบุคคล (ุอย่างที่ Madonna เคยวิเคราะห์ไว้ในเพลง Material Girl ) นางสมบุญจากนครสวรรค์ จึงถูกมองว่าเป็นโจร ที่ลักตัวพี่เนื่องไปจากสาวตระกูลมั่งมีอย่างแม่พลอย

อันที่จริงแล้ว ตํานาน "โจร" พื้นบ้านก็มีลักษณะคล้ายคลึงกับตํานาน "สาวตูดไว" อย่างแยกไม่ออกและก็เป็นที่นิยมชมชอบไม่แพ้กัน ตํานานปล้นคนรวย ช่วยคนจนนั้นมีมากในสังคมที่มีความเหลื่อมลํ้าสูง

ตํานานโจรที่มีชื่อว่า Robin Hood ก็เป็นที่นิยมกันมากในหมู่ชาวบ้านผู้ตกยากในยุโรปยุคกลาง ในหมู่ประเทศลาตินอเมริกาก็มีตํานานโจรมากมาย ที่เล่าขานกันในหมู่ชาวบ้าน อย่างเรื่องของนายปันโจ เวีย (Pancho Villa) โจรผู้ช่วยปลดแอกประเทศ Mexico หรือตํานานสงครามกองโจรของ เช กูวาร่า (Che Guevara) เป็นต้น

หากท่านไปเที่ยว Mexico ภาพที่ท่านจะได้เห็นบ่อยที่สุด (ในที่ธุรกันดาร) ก็คือภาพนายปันโจ ขุนโจร ตัวคลํ้า หนวดยาว หมวกบาน ปืนคู่ โพสท์ท่าอยู่บนรองเท้าบูท โดยมีต้นกระบองเพชรเป็นฉากหลัง

ในภูมิภาคแถบเอเชียของเรา ตํานานโจรที่ออกจะเด่นชัดที่สุดก็คือตํานาน 108 โจรจากเหลียงซาน (อย่าไปสับสนกับ 108 โจรใต้นะครับ) ตํานานโจรอันนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 900 ปีที่แล้วในประเทศจีน ณ ภูเขาเหลียงซาน โจร 108 ท่านนี้ ประกอบด้วยปัญญาชนที่ถูกรัฐบาลรังแก หรือชาวบ้านที่ทําผิดกฎหมาย อย่างการชกพ่อค้ามาเฟียที่ชอบลักตัวลูกสาวชาวบ้านไปเป็นเมีย หรือการเตะต่อยนายอําเภอที่เรียกร้องส่วยมากเกินไป

เนื่องจากกฎหมายของจีนในยุคนั้นมักจะเข้าข้างพ่อค้าที่เซ็งลี้เก่ง คนจีนที่มีใจซื่อสัตย์จึงต้องรวมตัวกันเป็น "โจร" เพื่อต่อสู้กับเจ้าหน้าที่และกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม แต่ที่สุดแล้วโจร 108 ทั้งหมดนี้ก็ถูกเจ้าหน้าที่รัฐหลอกฆ่าเสียจนสิ้น เหลือไว้เพียงแค่ตํานานให้เล่าขานกันมาจนถึงปัจจุบัน ชาวพื้นเมืองของจีนยังเชื่อว่าวิญญาณของโจร 108 ท่านนี้ยังไม่ตาย เช่นเดียวกับวิญญาณของ กวนอู หรือ กบฎผีบุญ ของบ้านเรา

ตํานานโจรพื้นบ้านเหล่านี้คือสัญลักษณ์และความหวังของชนชั้นล่าง จึง ยังตายไม่ได้ และมักถูกเหมาให้เป็น "ผี" เอาไว้คุ้มครองชาวบ้านผู้ไร้ซึ่งอํานาจ

มีนักประวัติศาสตร์ท่านหนึ่ง เคยถามว่าทําไมตํานานโจรพื้นบ้านเหล่านี้จึงมีผู้หญิงน้อยนัก ?

ข้อสังเกตุข้อหนึ่งก็คือว่า แท้จริงแล้วเรามีตํานานโจรหญิงเป็นจํานวนมาก แต่เจ้าหล่อนนั้นใช้บริบทในการปล้น (หรือกระบวนการทอดถอนทุนจากเจ้าสัว) ที่ต่างจากหนุ่มปืนไวทั้งหลาย โดยเฉพาะในสังคมที่ผู้ชายเป็นใหญ่ (patriarchy) การจี้ปล้นในรูปแบบของ "เมียน้อย" หรือ "กะหรี่" นั้นทําได้ง่ายกว่าและได้ประสิทธิภาพเหนือการใช้ปืนหลายเท่า

ตํานานโจรในสังคมที่เหลื่อมลํ้า (ไม่ว่าจะตูดไว หรือ ปืนไว) จึงน่าจะเป็นเครื่องชี้วัดให้เห็นถึงความต้องการและความหวังของชนพื้นบ้านที่จะปลดปล่อยตนเองจากสภาพชีวิตที่ถูกเอาเปรียบ แต่มันเป็นความต้องการที่ยังไร้ระบบการจัดการอันชัดเจน เพื่อนําไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างทางสังคม มันเป็นเพียงแค่ความหวังให้ชาวบ้านได้เสพไปวันๆเท่านั้น

ทว่า คนเรานั้นเมื่อถูกเอาเปรียบก็ยังพอทนได้
แต่ถ้าสิ้นหวังแล้วนั้นคงจะดํารงชีวิตอยู่ยาก

ความเสี่ยงของการมี Smart Card

ประเด็นสำคัญ มันอยู่ที่ว่า ใครเป็นคน คุมข้อมูล และเราจะเชื่อใจคนคนนั้น หน่วยงานนั้น หรือเทคโนโลยีที่เขาใช้ในการปกป้องข้อมูลได้อย่างไร ถ้าข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับสุขภาพ ลายนิ้วมือ สถานการณ์ทางการเงิน บัตรเครดิต ประกันสังคม ของประชากรกว่าหกสิบล้าน ถูกเอาไปใช้ในมือมืด จะเกิดผลเสียอย่างไรบ้าง ทางกระทรวงไอซีที ไม่ค่อยยกประเด็นเหล่านี้ขึ้นมาเสวนากันให้จะแจ้ง จะเน้นแต่ก็เพียงรูปลักษณ์ภายนอกของบัตร และข้อดีของมันเท่านั้น

แต่เราน่าจะลองมาจินตนาการปัญหาที่จะเพิ่มความเสี่ยงต่อประชาชนหกสิบล้านคนกันดู

1. จากคนบริสุทธิ์ สู่ฆาตกร

จริงๆ แล้ว ถึงไม่ต้องมีสมาร์ทการ์ด กระบวนการยุติธรรมในปัจจุบันก็มีปัญหาอยู่แล้ว กรณีนาย ดวงเฉลิม อยู่บํารุง ลูกชายของนาย เฉลิม อยู่บํารุง ไม่เพียงชี้ให้เห็นถึงความไม่เป็นกลางของรัฐในการตัดสินคดี แต่ยังเป็นข้อเตือนใจว่าหากผู้คุมอํานาจ มีการจัดรวมศูนย์ข้อมูลอย่างเบ็ดเสร็จแล้ว การใช้อํานาจรัฐเพื่อปกป้องผู้มีอิทธิพลย่อมทําได้ง่ายขึ้น

ประชาชนที่ทำงานสุจริตอยู่ดีๆ อาจถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่ออาชญากรรมได้ สาเหตุที่หนึ่ง ก็เพราะเขาโชคร้ายต้องเป็นแพะรับบาป ถูกป้ายสีโดยผู้มีอำนาจ(อำนาจเงิน หรืออำนาจทางการเมือง) ที่สามารถเข้าถึงข้อมูลลายนิ้วมือของเขา แล้วไปปลอมลายนิ้วมือนั้น เพื่อกล่าวหาว่าเขาคือผู้ผิด

สาเหตุที่สอง คือเทคโนโลยีการเปรียบเทียบลายนิ้วมือนั้นมันไม่สมบูรณ์แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้าตำรวจไปเก็บลายนิ้วมือจากจุดเกิดเหตุฆาตกรรม แล้วเอาไปถามคอมพิวเตอร์ว่ามันตรงกับลายนิ้วมือของประชาชนคนไหน เกิดคอมพิวเตอร์มัน match ผิดลายนิ้วมือเข้าให้ละก็ คราวนี้ คนบริสุทธิ์ก็จะดิ้นไม่หลุดกันล่ะ (false positives)

2. ใครๆ ก็รู้จักคุณ (โดยเฉพาะบริษัทบัตรเครดิต บรรษัทข้ามชาติ และห้างร้าน)

รสนิยมการบริโภคของคุณ ไม่ว่าจะชอบแชมพูประเภทไหน เสื้อผ้าสไตล์ใด ชอบขับรถรุ่นไหน ชอบกินเบอร์เกอร์ไก่อยู่รึเปล่า เหล่านี้เป็นข้อมูลทางการตลาดที่มีค่ายิ่งสำหรับบริษัทใหญ่ๆ ที่อยากรู้ถึงความต้องการของผู้บริโภคนับล้าน ว่าชอบกิน ชอบซื้ออะไรกัน จะได้ทุ่มทุนโฆษณาขายได้ถูกจุด

จริงอยู่ คุณอาจสงสัยว่า บริษัทเหล่านั้นจะได้ข้อมูลเหล่านั้นได้อย่างไร แล้วมันเป็นธรรมหรือที่บริษัทบางบริษัทจะได้ข้อมูลที่มีผลต่อความได้เปรียบทางการตลาด โดยที่บริษัทคู่แข่งเข้าไม่ถึงข้อมูลเหล่านั้น ก็ลองคิดดูว่าบริษัทในเครือของผู้ปกครองประเทศของเราคุมเข้าไปกี่กิจการแล้ว และมันเกี่ยวเนื่องอย่างไรกับการที่เขาเข้าถึงข้อมูล และเส้นสายได้ถูกจุด

เมื่อข้อมูลอุปสงค์ของคุณเข้าสู่มือนักการตลาด คุณก็จะได้ Junk mail หรือจดหมายโฆษณาสินค้าต่างๆ กองพะเนินเทินทึกในตู้ไปรษณีย์ที่บ้านคุณ แล้วอยู่ๆ ก็จะบริษัทต่างๆ โทรมาหาพยายามขายสินค้าหรือบริการบางอย่างให้กับคุณ เป็นโทรศัพท์รายวันที่ไม่ยอมให้คุณได้อยู่อย่างสงบสักวินาที

3. ใครได้สัมปทาน

การที่คนหกสิบล้านคน จะถูกบังคับใช้ผลิตภัณฑ์เดียวกันนั้น ต้องมีคนนำเข้าบัตร คนทำพลาสติก คนทำ memory chip คนทำ hardware และ software รวมมูลค่ากว่า 6,000 ล้านบาท ใครเป็นผู้ได้สัมปทานการผลิต หรือการนำเข้าชิ้นส่วนต่างๆ เหล่านี้ จะทำให้เกิดการสร้างงานในประเทศไหม หรือจะนำเงินเข้ากระเป๋าเครือญาติของตระกูลบางตระกูล เงินภาษีใคร ใช้ในการลงทุนมโหฬารครั้งนี้

ก่อนที่จะใช้กฏหมายใหม่ที่ส่งผลถึงคนทั้งประเทศปานนี้ มีการปรึกษาประชาชนหรือยัง มีการทำประชาพิจารณ์หรือเปล่า หรือว่ามีแต่โฆษณาแต่ข้อดี โดยไม่มีการบรรยายถึงข้อเสียให้สาธารณชนรู้ สิ่งสำคัญ เป็นเรื่องของความปลอดภัยของข้อมูล ที่รัฐบาลสัญญาปากเปล่าว่าปลอดภัย

ข้อมูลเหล่านี้ ไม่ว่าจะเก็บไว้ใน server ใด server ในห้องลับหรือไม่ลับ หรือจะเข้าถึงได้ทาง internet ก็ตาม เราไม่สามารถรับประกันกันได้ว่าข้อมูลเหล่านั้นจะถูกแฮ็กไปได้ แม้รัฐมนตรีออกมาประกาศปาวๆ ว่าเทคโนโลยีนี้ แฮ็กได้ยาก แต่ถ้าไม่เคยมีประเทศไหนในโลกเขาใช้ในระดับหกสิบล้านกว่าคน เราจะไปรู้ได้อย่างไร ดูอย่างพาสปอร์ทในสหรัฐสิ ปลอมกันเป็นว่าเล่น มีคนหนีเข้าเมืองอย่างผิดกฏหมายมากมาย ทั้งๆ ที่สหรัฐก็ใช้เทคโนโลยีไฮเทคในการจัดการข้อมูลของพาสปอร์ตเหมือนกัน

เทคโนโลยีใดก็ตามที่มีความรวมศูนย์มาก ถ้ามีใครจับจุดได้ถูกต้องก็จะนำมาสู่ความหายนะได้ง่ายเป็นอย่างยิ่ง ตัวอย่าง เช่นท่อก๊าซธรรมชาติในสหรัฐอเมริกา ซึ่งถ้าอยากแกล้งกันละก็ สามารถตัดกาซที่จะนำไปสู่ครึ่งประเทศของสหรัฐอเมริกาภายในคืนๆ เดียว โดยไม่ต้องเดินทางออกจากรัฐหลุยเซียร์นาเลย หรือดูอย่างโรคไข้หวัดนก ซึ่งระบาดได้ง่ายดายในฟาร์มที่เลี้ยงไก่แบบแออัดยัดเยียดรวมศูนย์ ถ้าไก่ติดเชื้อถูกนำไปปล่อยเพียงตัวเดียว ไก่ทั้งฟาร์มก็เกิดอาการเซื่องซึมได้

ข้อมูลที่รวมศูนย์ก็เหมือนกัน ลองหาเด็กหัวใส แฮ็กเก่งสักหนึ่งคนไปพยายามแหย่ๆ ดู แล้วจะรู้… หรือหาไวรัสใส่เข้าไปสักตัว ที่จะทำลายหรือบิดเบือนข้อมูลทั้งหมด คราวนี้ ก็ต้องเสียเงินภาษีประชาชนในการกู้ข้อมูล หรือเก็บข้อมูลใหม่ทั้งหมด

นี่ยังไม่ได้พิจารณา ว่าการบังคับใช้สมาร์ทคาร์ด เป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล และสิทธิมนุษยชนหรือไม่ อย่างไร

ถ้าเราปล่อยให้รัฐบาลเดินหน้ากับสมาร์ทคาร์ดต่อไป คงเป็นโอกาสเซ็งลี้สำหรับคนเพียงไม่กี่คน ในขณะที่ประชาชนอาจต้องพบกับความเสี่ยงครั้งมโหฬารซึ่งเกิดจากเทคโนโลยีอันนี้


--------------------------------------------------------------------------------

นักเรียน นอกโรง



การเป็นนักเรียนนอก ที่ไม่สังกัดกับมหาลัยฯใดๆเลยนั้นมีด้วยหรือ แล้วผู้ไม่แสวงหาปริญญา เหล่านี้กลับไปทําอะไรบ้าง




ปี 1921 นายโจ ชายหนุ่มจากจีนแผ่นดินใหญ่ในชุดพนักงานโรงงานรถยนต์ กําลังเดินโซเซกลับบ้านพักในกรุงปารีสพร้อมกับหนังสือสังคมศาสตร์เล่มใหม่ ที่เขาซื้อมาได้จากการสะสมค่าแรงไว้หลายสัปดาห์ ชีวิตและความเป็นอยู่ในประเทศฝรั่งเศส ของนายโจ นั้น ออกจะเรียบง่ายและปราศจากความหรูหราใดๆทั้งสิ้น ภาพที่ยังคงติดตาชาวเมืองปารีสอยู่ คงจะเป็นภาพของเจ้าโย่ง เดินแบกภาชนะต้มนํ้าและอาหารติดตัว พร้อมด้วยสมุดบันทึกคู่ชีพ ไปตามซอกซอยและสถานที่ต่างๆ ที่นักท่องเที่ยวทั่วไปพยายามจะหลีกเลี่ยง

นายโจมาเมืองนอกเพื่อศึกษาแนวคิดและระบบสังคมต่างๆ รวมทั้งระบบทุนนิยม ซึ่งเขากําลังสนใจอย่างแรงในฐานะพนักงานโรงงาน สมุดบันทึกของเขานั้นจึงเต็มไปด้วย รายละเอียดการทํางานในโรงงานรวมทั้งสภาพความทุกข์ทรมาณของของคนงานด้วย

"มหาลัยฯ" ของนายโจนั้นนอกจากจะมาในรูปแบบของโรงงานแล้ว ยังจะมาในรูปแบบของการอ่านสิ่งตีพิมพ์ต่างๆ การพูดคุยกับชาวเมือง และการท่องเที่ยวอีกต่างหาก การเรียนของเขานั้นมีจุดหมาย และวิธีการที่ต่างจากเพื่อนชาวจีนนักเรียนนอกหลายคน ที่อยู่ร่วมกันในกรุงปารีส ครั้งหนึ่งเขาได้พบปะพูดคุยกับนักเรียนหลายคนและได้มีการแนะนําตัวกันขึ้น เพื่อนคนหนึ่งบอกว่าเขามาปารีสเพื่อมาเรียนการก่อสร้าง อีกคนหนึ่งต้องการเรียนวิศกรรมเครื่องกลเพื่อจะได้ไปตั้งบริษัทส่วนตัว พอมาถึงตาของนายโจ เขาพูดเพียงสั้นๆว่า

"กูมาเรียนเพื่อจะไปเปลี่ยนระบบสังคมของจีน ว่ะ"

คํากล่าวอันนี้ออกจะฟังดูแปลกหูแปลกตาอยู่บ้าง แต่ไม่นานนักเพื่อนร่วมรุ่นของเขาที่พอจะรับได้กับแนวคิดทํานองนี้ ก็เริ่มมารวมตัวกันเป็นจํานวนมากจนกลายเป็นกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า "เยาวชนสังคมนิยมแห่งฝรั่งเศส" หลังจากนั้นไม่นาน นายโจก็เริ่มทําหน้าที่เป็นเลขาธิการของกลุ่ม โดยทําการประสานงานกับกลุ่มเยาวชนในประเทศจีนอีกเสียด้วย จุดนี้เองคือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงระบบสังคมของจีน (ที่ทําให้ตระกูล Shin ต้องหนีมาอยู่เมืองไทย)

จะว่าไปแล้วเรื่องการเป็น"นักเรียนนอกโรง" นั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ หลายท่านคงได้เคยดูหนังเรื่อง "Gandhi" และคงจะจําได้ถึงฉากที่ทนายหนุ่มจากอินเดียถูกเตะออกจากรถไฟในปี 1893 ถ้าลองไปอ่านบันทึกของนายคานธี ก็คงจะพบว่า ฮอลลีวูด เขาหาได้หลอกลวงเราไม่ในครั้งนี้

่บันทึกของนายคานธี นั้นยังบอกอีกว่าเขาถูกปฏิเสธ จากการเป็นครูในประเทศอินเดียเนื่องจาก เขานั้นเป็นคนที่ไม่มีปริญญาจากมหาลัยฯใดๆทั้งสิ้น นายคานธี เป็นทนายความที่ประเทศอังกฤษได้ด้วยการสอบจดทะเบียนวิชาชีพนั่นเอง อันนี้น่าสนครับ เพราะแม้แต่คนที่ไปเรียนมหาลัยฯโด่งดังทางกฏหมายในอังกฤษแล้วยังสอบกันไม่ผ่านเลย แล้วเจ้าหนุ่มวัย22 ปีที่มิได้ลงทะเบียนเรียนที่มหาลัยฯใดๆเลยนั้น ยังจะสอบผ่านได้ไรเล่า

ก่อนอื่นต้องขอเล่าให้ฟังก่อน ว่าทําไมนายคานธี นั้นจึงไม่เลือกที่จะไปเรียนมหาลัยฯ เหมือนกับนักเรียนนอกคนอื่นๆ เขาเล่าไว้ในบันทึกว่า

"กู ลองไปสืบดูเรื่องการเรียนที่มหาลัยฯ Oxford และ Cambridge รวมทั้งถามเพื่อนบางคนอีกด้วย จึงรู้ว่า ถ้ากูดันไปเรียนที่มหาลัยฯเหล่านี้ละก้อ กูคงต้องเสียค่ากินอยู่อย่าง มหาศาล แถมยังต้องอยู่อังกฤษ นานกว่าที่เตรียมเอาไว้เสียอีก"

เมื่อทราบดังนั้นแล้ว นายคานธี จึงเลือกที่จะสอบเทียบ London Matriculation แทน ในช่วงแรกนั้นเขาไปสมัครเรียนที่ศูนย์กวดวิชา ซึ่งไม่ได้ทําให้เขาสอบผ่านแต่อย่างใด หลังจากสอบตกมาแล้วหมาดๆ เขาจึงเริ่มเตรียมตัวสอบใหม่โดยการหาหนังสือมาอ่านเอง สร้างตารางเวลาเอง และ "อยู่อย่างเรียบง่าย" โดยการ กินแต่ข้าวต้ม โคคา และ ขนมปัง เขาเล่าว่าวิธีการ "อยู่อย่างเรียบง่าย" นั้น ทําให้เขาสามารถมีสติในการศึกษาด้วยตัวเองมากขึ้น ซึ่งเป็นผลทําให้เขาสอบผ่าน London Matriculation แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาได้ ปริญญาแต่อย่างใด มันเป็นเพียงแค่ การรับรองว่าเขาเป็นคนมีความรู้ ในระดับหนึ่งเท่านั้น

หลังจากนั้นไม่นานนายคานธี ก็เตรียมตัวสอบจดทะเบียนเป็นทนายความโดยใช้วิธีเดียวกันกับการสอบ London Matriculation เขาเริ่มไปหารายชื่อหนังสือที่ต้องอ่านมา จากนั้นจึงยืมหนังสือดังกล่าวมาอ่าน รวมทั้งการกําหนดตารางเรียน และการกินและอยู่อย่างเรียบง่ายด้วยตัวเอง

จะว่าไปแล้วข้อสุดท้ายนี้ดูจะยากสักหน่อยเนื่องจาก ที่อังกฤษนั้น เขาบังคับว่าผู้ที่ต้องการเป็นทนายความนั้น จะต้องเก็บหน่วยกิจการ "ออกสังคม" และดื่มเหล้าให้ครบเสียก่อน เรื่องการออกสังคมนั้น นายคานธีกล่าวไว้ว่า

"สําหรับพวกเราชาวอินเดียแล้ว มันเป็นเรื่องที่น่าตกใจนะ หากจะต้องค้นพบว่าราคาเหล้านั้นแพงกว่า ราคาอาหาร ! "

แถมทุกคนที่มาออกสังคมนั้น ยังต้องถูกบังคับให้ซื้อเหล้าดื่มอีกเสียด้วย แล้วเนื่องจากนายคานธีเป็นคนไม่กินเนื้อสัตว์ ผลก็คือ "กู แทบจะกินอะไรไม่ได้เลยในงานเลี้ยงประเภทนี้" แต่อย่างไรก็ตามเขาก็สามารถหลุดพ้นจากงานสังคมเหล่านี้ไปได้เมื่อเขาสอบ ผ่านการจดทะเบียนวิชาชีพทนายความ ในปี 1891

ในยุคปัจจุบันนั้นก็เริ่มมีนักเรียนไทยในเมืองนอกจํานวนหนึ่งที่กําลังทํางานอยู่ในขณะเดียวกันกับการเป็น "นักเรียนนอกโรง" ในลักษณะเดียวกับนายโจ และนายคานธี นักเรียนประเภทนี้ส่วนใหญ่จะไม่ใช่นักเรียนทุนแต่จะเป็นคนงาน ที่ได้วีซ่ามาทํางานที่ร้านอาหารไทยในเมืองนอก เนื่องจากพวกเขาไม่มีเงินที่จะไปจ่ายค่าเทอมของมหาลัยฯ (ซึ่งเฉลี่ยประมาณหลายล้านบาทต่อปี) นักเรียนนอกโรง เหล่านี้จึงจําต้องเรียนเอาเองจากหนังสือห้องสมุดสาธารณะ รวมทั้งการทําความรู้จักกับพื้นที่และชาวเมือง

มีรุ่นพี่ท่านหนึ่งมาทํางานร้านอาหารอยู่หลายปีในขณะที่เรียน คอมพิวเตอร์ ด้วยตัวเองควบคู่ไปด้วย ปัจจุบันนี้ลูกพี่เขาตั้งบริษัท Computer Consultant เป็นของตัวเองแล้ว แถมยังได้เงินเดือนนับล้านบาท (ขอคิดเป็นเงินไทยนะ ) ผมจึงถามเขาว่า "อย่างนี้ พี่คงไม่กลับเมืองไทยแล้วสิ ก็สบายแล้วนี่" ลูกพี่ได้ยินดังนั้นก็ทําตัวกระสับกระส่าย ราวกับกลัวว่าตนจะมิได้รับใช้สังคมไทย แล้วให้เหตุผลว่า

"กูจะกลับบ้านโว้ย....คิดถึงก๋วยเตี๋ยวเรือ"



--------------------------------------------------------------------------------

อ่านเพิ่มเติมที่

Gandhi - An Autobiography The story of my experiments with truth

Zhou Enlai - The Early Years by Chae-Jin Lee, Stanford University Press

new