Thaksinomics มีที่ไหน?

ผมเคยกล่าวไว้ในหนังสือ “พิษทักษิณ: ผลกระทบเศรษฐกิจการเมืองและสังคมภายใต้ระบอบทักษิณ” (OPENBOOKS, 2547) ว่า ก่อนที่เราจะถกเถียงกันว่า ระบอบเศรษฐกิจแบบทักษิณ หรือ Thaksinomics มีเนื้อหาสาระอย่างไร มีจุดแข็งและจุดอ่อนตรงไหน คำถามสำคัญ ที่ต้องตอบเสียก่อนก็คือ Thaksinomics มีจริงหรือไม่? คำตอบของผมคือ ไม่มี !!!

ผมคิดว่า Thaksinomics ไม่มีจริง หากเป็นเพียงวาทกรรมที่ถูกริเริ่มสร้างขึ้นและผลิตซ้ำบ่อยครั้งโดยฝ่ายนิยมทักษิณ จนติดปาก สื่อมวลชนและสังคม ที่ทางของ Thaksinomics เหมือนกับเป็นวาระที่ถูกกำหนดมาให้แล้ว จำเป็นต้องยอมรับมัน จนดูเสมือนว่าเราทำได้ แค่เพียงตอบคำถามว่า เราจะ “อธิบาย” มันอย่างไร “อยู่” กับมันอย่างไร และมันจะนำเราไปสู่อะไรThaksinomics ลอยมาจากที่ใดและปักรากอยู่ในสังคมเศรษฐกิจไทยตั้งแต่เมื่อใด ผมเชื่อว่าหลายคนคงไม่รู้ตัวและยังรู้สึกงงๆ อยู่ รู้ตัวอีกทีเราก็อยู่ภายใต้ Thaksinomics กันหมดแล้ว จึงถือเป็นภาระที่จะคิด ฟัง อ่าน เขียน เพื่อ “เข้าใจ” มันให้มากที่สุด จะได้ “วิเคราะห์” และ “วิจารณ์” มันได้ เมื่อนักวิชาการพยายามผลิตคำอธิบายและหาเหตุผลประกอบดำรงอยู่ของมัน (เสมือนว่ามันมีอยู่จริง มันมีอยู่แล้ว) นักวิชาการจึงได้แต่เล่นตามเกมวาทกรรมที่ถูกกำหนดวาระมาแล้วตั้งแต่ต้น ยิ่งทุ่มทรัพยากร ทั้งสมองและเวลา ในการผลิตคำอธิบายด้วยเหตุผลทางวิชาการ ไม่ว่าจะในทางบวกหรือลบ มากเท่าใด ก็ยิ่งสะท้อนความเชื่อที่ว่า Thaksinomics มีอยู่จริง และยิ่งยืนยันความเชื่อว่าระบอบดังกล่าวมีลักษณะตัวตนเฉพาะ (Identity) ซึ่งแตกต่างออกไปจากระบอบอื่นหรือ แตกต่างจากอดีต จริงความชอบธรรม (ในการดำรงอยู่) ของระบอบดังกล่าวก็เกิดขึ้น แม้จะเป็นระบอบที่ไม่ชอบธรรมก็ตาม หรือจะเป็นระบอบที่ชอบธรรมก็ตาม (ซึ่งไม่ใช่ประเด็นสำคัญอีกต่อไปแล้ว แต่ประเด็นสำคัญคือ เรายอมรับการมีอยู่ของมันแล้วต่างหาก ซึ่งการยอมรับการมีอยู่จริงของมันมีความสำคัญไม่แพ้ประเด็นที่ว่า มันอยู่อย่างไร ทำงานอย่างไร ดีหรือเลว)

ผมมีความเห็นว่า Thaksinomics มีหน้าที่ในการดำรงอยู่ในฐานะเครื่องมือทางการเมือง มากกว่าในฐานะชุดของนโยบายเศรษฐกิจที่มีเนื้อหาสาระและตัวตนเฉพาะ อย่างที่ระบอบหนึ่งๆ ควรจะเป็น Thaksinomics เป็นเพียงหนึ่งในกระบวนการสร้างยี่ห้อทางการเมือง เป็นหนึ่งในกระบวนการทำสินค้า(ทางการเมืองที่ผลิตโดยคุณทักษิณ)ให้ผู้บริโภคในตลาดนโยบายรู้สึกแตกต่าง Thaksinomics ทำหน้าที่เป็น “เปลือก” หุ้มสินค้าเดิมๆ ให้ดูแตกต่างทันสมัย แม้เนื้อหาข้างในจะกลวงโบ๋ ซ้ำซาก ไร้อุดมการณ์เบื้องหลัง และไร้จุดยืน ก็ตามเช่นนี้แล้ว สำหรับเจ้าของที่ต้องการขายสินค้ายี่ห้อนี้ การที่สังคมยอมรับการมีอยู่ของมัน ก็คือ การยอมรับว่าสินค้านั้นแตกต่างจากสินค้าอื่นจริง จะใช้ดีหรือไม่ สะอาดหรือไม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก การที่คนให้ “คุณค่า” และถูก “ทำให้เชื่อ” ซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึง “ความแตกต่าง” ของมัน เป็นทุนทางการเมืองที่สำคัญยิ่งของคุณทักษิณ ที่ทำให้เขาแตกต่างโดดเด่นเหนือนักการเมืองอื่น

เหตุใดผมจึงคิดว่า Thaksinomics ไม่มีจริง? ผมคิดว่า หากเราจะเรียกนโยบายเศรษฐกิจว่าเป็น “ระบอบ” อะไรสักอย่าง ชุดของนโยบายเศรษฐกิจนั้นต้องมีเอกลักษณ์เฉพาะ เป็นสิ่งที่เจ้าของระบอบได้คิดใหม่ทำใหม่ขึ้นมา อย่างแท้จริง อย่างแตกต่างจากชุดความคิดเดิม มุมมองต่อโลกเดิม ที่เคยคิดเคยเชื่อกันอยู่แล้ว นอกจากนั้น ชุดของนโยบายเศรษฐกิจต้องมี “ความคงเส้นคงวา” (Consistency) อย่างยิ่ง และสามารถสืบค้นไปถึง “อุดมการณ์” (Ideology) ที่อยู่เบื้องหลังชุดของนโยบายเศรษฐกิจเหล่านั้นได้ Thaksinomics ไม่มีลักษณะสำคัญดังกล่าว เราจึงไม่ควรให้คุณค่ามันในฐานะระบอบ ในทางกลับกันเราจำเป็นต้องตรวจสอบการดำรงอยู่ของมัน ก่อนที่จะถูกทำให้เชื่อง และเชื่อในการมีอยู่ของมันอย่างง่ายๆ หรืออย่างไม่รู้ตัว เหตุผลสำคัญที่ผมคิดว่า Thaksinomics มีสถานะเพียงแค่เครื่องมือทางการเมือง หาใช่ระบอบเศรษฐกิจใหม่อย่างแท้จริง เนื่องจาก

หนึ่ง Thaksinomics ไม่มีแก่นแกนความคิดที่เป็นระบบ และไม่มีความคงเส้นคงวาของนโยบาย เต็มไปด้วยความคิดและนโยบายเศรษฐกิจที่สะเปะสะปะ แยกส่วน ยากจะหาจุดร่วม ไม่มีความคิดองค์รวมที่เป็นระบบ หาแก่นแกนที่เป็นปรัชญาพื้นฐานหรืออุดมการณ์เบื้องหลังไม่ได้

หากถามผมว่า ความคิดทางเศรษฐศาสตร์ของคุณทักษิณคืออะไร ผมตอบไม่ได้ เพราะมันไม่มีคุณทักษิณเป็นนักธุรกิจทั้งตัวและหัวใจ หาใช่นักเศรษฐศาสตร์ไม่ ไม่ว่าจะเป็นนักเศรษฐศาสตร์กระแสใด

วิธีคิดของนักเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก มีเป้าหมายเพื่อจัดสรรทรัพยากรส่วนรวมให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด ซึ่งแตกต่างจากนักธุรกิจที่มีเป้าหมายเพื่อแสวงหากำไรสูงสุด สนใจเฉพาะส่วนของตัวเองเป็นสำคัญ มิได้ใส่ใจภาพรวม หรือป่าทั้งป่า ที่มีตัวละครหลากหลายประกอบกันเป็นเศรษฐกิจ ต้องเข้าใจว่า หน่วยเศรษฐกิจหนึ่งอาจดีขึ้นรวยขึ้นภายใต้การแบกรับต้นทุนของหน่วยเศรษฐกิจอื่น

วิธีคิดของนักเศรษฐศาสตร์กระแสรอง มีเป้าหมายเพื่ออธิบายกลไกการทำงานของระบบเศรษฐกิจที่คำนึงถึงปัจจัยอื่นๆ นอกเหนือจากปัจจัยทางเศรษฐกิจ เช่น ปัจจัยทางการเมือง สังคม วัฒนธรรม โดยส่วนมาก มีเป้าหมายเพื่อสร้างสังคมที่เป็นธรรมและเท่าเทียมในบั้นปลาย วิธีคิดเช่นนี้ยิ่งแตกต่างจากวิธีคิดของนักธุรกิจทั่วไปในระบบทุนนิยมที่ให้คุณค่ากับการแสวงหาความร่ำรวยส่วนตนเหนือสิ่งอื่นใด หาได้ใส่ใจปัจจัยอื่นนอกเหนือจากปัจจัยทางเศรษฐกิจไม่ มิหนำซ้ำ บ่อยครั้ง บนเส้นทางแสวงหาความร่ำรวยยังได้ทำลายความเท่าเทียมและความเป็นธรรมในสังคม

เช่นนี้แล้ว ชุดของนโยบายเศรษฐกิจในรัฐบาลทักษิณจึงมิได้มีจุดปลายเพื่อให้สังคมส่วนรวมมีสวัสดิการสูงสุด (คนทั่วไปในสังคมกินดีอยู่ดีมากที่สุด) แต่อย่างใด หากเป็นนโยบายเฉพาะส่วน เฉพาะกลุ่ม เสียมากกว่า กลุ่มผลประโยชน์บางกลุ่มอาจได้ประโยชน์จากบางนโยบาย โดยที่กลุ่มอื่นต้องแบกรับภาระต้นทุน
แม้นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลนี้จะเป็นรูปธรรมมากกว่ารัฐบาลอื่นก็จริง แต่เมื่อนำนโยบายที่แยกส่วนมาผสมกันแล้ว กลับขัดแย้งไม่เป็นเนื้อเดียวกัน
นโยบายเศรษฐกิจแต่ละนโยบายตอบสนองอุดมการณ์ต่างรูปแบบกัน อย่างชนิดที่ไม่น่าจะอยู่ร่วมกันได้ ดังเช่น การผสมผสานปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงกับนโยบายเสรีนิยมใหม่ เช่น โฆษณาชวนเชื่อว่าส่งเสริมให้คนไทยและประเทศไทยพึ่งตนเอง ยืนอยู่บนขาตนเอง แต่กลับใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่ทำให้ชาวบ้านมีหนี้และต้องพึ่งรัฐมากขึ้น อีกทั้ง ยังผลักดันนโยบายเปิดเสรีการค้าและการเงิน ที่ลดอำนาจอธิปไตยในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจและทำให้ต้องพึ่งพิงภาคต่างประเทศมากขึ้น

ตัวอย่างอื่นๆ ของนโยบายที่ขัดแย้งกันเองในเชิงอุดมการณ์ เช่น นโยบายแปรรูปรัฐวิสาหกิจ(เช่น การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย) กับนโยบายแปลงวิสาหกิจเอกชนเป็นของรัฐ (เช่น รถไฟฟ้าหรือซื้อสโมสรฟุตบอล) นโยบายให้ทุนการศึกษาเพื่อพัฒนาคน แต่ใช้ผลกำไรของหวยบนดิน ที่ทำลายคุณภาพคน นโยบายประกาศสงครามกับคอร์รัปชั่นทั้งที่เต็มไปด้วยผลประโยชน์ทับซ้อน เป็นต้น

สอง โดยเนื้อหาแล้ว นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลทักษิณมิได้มีชุดความคิดหรือนโยบายเศรษฐกิจที่คิดใหม่ทำใหม่ ไม่มีการประดิษฐ์องค์ความรู้ใหม่ทางเศรษฐศาสตร์ ที่ผ่านมา ทุกรัฐบาลก็ดำเนินนโยบายเศรษฐกิจคล้ายกันนี้ โดยด้านหนึ่ง ใช้นโยบายเสรีนิยมใหม่ เช่นส่งเสริมการเปิดเสรี แปรรูปรัฐวิสาหกิจ ลดการกำกับควบคุมของภาครัฐ เป็นมิตรกับสถาบัน “ตลาด” ตามแรงกดดันจากสถาบันแบบเสรีนิยมใหม่ เช่น จากองค์กรระหว่างประเทศ อย่าง IMF จากสิ่งแวดล้อมของโลกาภิวัตน์ ขณะที่อีกด้านหนึ่ง ใช้นโยบายชาตินิยม ท้องถิ่นนิยม และประชานิยม เช่น ช่วยเหลือกลุ่มทุนในประเทศ เอาใจคนยากจนระดับหนึ่ง แต่ไม่ได้แก้ปัญหาเชิงโครงสร้างที่ทำให้คนจนหายจน และลดช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวย นโยบายหรือเครื่องมือหลายอย่างที่ใช้ เช่น นโยบายรัฐสวัสดิการทั้งหลาย นโยบายส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค ก็เคยมีผู้ใช้ในอดีต หรือเลียนแบบต้นตอมาจากต่างประเทศแล้วนำมาประยุกต์ ปรับปรุง จัดหีบห่อเสียใหม่

ลำพังการพิจารณาเฉพาะรูปแบบการบริหารที่แตกต่าง เช่น การตัดสินใจอย่างฉับไว การดึงอำนาจบริหารแทบทุกระดับเข้าสู่ตัวเองเหมือนเป็นเจ้าของบริษัท การใช้วิถีนักธุรกิจมาบริหารระบบราชการ ความโดดเด่นและเหนือชั้นด้านการตลาด ฯลฯ ไม่เพียงพอที่จะเรียกมันว่า “ระบอบใหม่” เพราะปัจจัยเหล่านั้นเป็นเพียงระดับพื้นผิวหรือเปลือกนอก หาใช่ระดับเนื้อในที่เป็นแก่นแท้ของมัน

Thaksinomics จึงเป็นระบอบ (จริงๆ แล้ว ไม่ใช่ระบอบ) ที่เราให้คุณค่ามันสูงเกินไป ทั้งที่ไส้ในฉาบฉวยสับสน ไร้อุดมการณ์เบื้องหลัง ไร้จุดยืน มิได้ผลิตองค์ความรู้หรือภูมิปัญญาใหม่แต่อย่างใด มิพักต้องเอ่ยถึงปัญหาการขาดกติกากำกับควบคุมที่ดี (Good Governance) นอกจากนั้น ชุดของนโยบายเศรษฐกิจอาจสร้างภาระให้เศรษฐกิจไทยในระยะยาว ดังที่นักเศรษฐศาสตร์มักวิพากษ์วิจารณ์อยู่เนืองๆ
น่าเศร้าตรงที่ คนไทยสามารถทำได้ดีที่สุด ก็แค่ “รู้ทัน” เท่านั้น
รู้ทัน ... แล้วไงต่อล่ะครับ ?
ทางออกสำหรับคนกลัวถูกกระทืบอยู่ตรงไหนครับ ?

-- ปกป้อง จันวิทย์

เพลงร็อค - ทาส - และ sex

สมัยผมเป็นเด็กวัยรุ่นก็ตื่นเต้นกับมันมาก ผมกับเพื่อนๆหลายคนก็พากันโดดเรียน ไปแจมไปดิ้นกับรุ่นพี่เป็นประจํา แต่พี่ตุ่ยมักจะออกมาตักเตือนอยู่บ่อยๆว่า "ถ้ามึงอยากจะเล่น Rock มึงต้องเข้าใจ Blues ก่อน และถ้ามึงจะเข้าใจ Blues ได้ มึงจะต้องรู้ซึ้งถึงความทุกข์...."

ฟังดูแล้วไม่เห็นจะเหมือนกับภาพแสงสีตัณหาอันเร่าร้อน ที่กล่าวมาแล้วข้างต้นเลย "ความทุกข์" นี่หรือคือต้นกําเนิดของดนตรี Rock ?

เมื่อผมได้มาศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกา ผมก็เริ่มค้นคว้าเรื่องราวความเป็นมาของดนตรี Rock ต่อจนได้เค้าได้้ความพอจะหายคัน

ดนตรี Rock มีรากฐานมาจากดนตรีบลูส์ (Blues) ซึ่งมีกําเนิดโดยคนผิวดําที่ถูกฝรั่งจับมาเป็นทาส คนผิวดําเหล่านี้ถูกฝรั่งใช้งานอย่างหนักในการปลูกฝ้าย และยาสูบในภาคใต้ของสหรัฐ (ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1600s) เวลาทํางานในไร่ เขาจะฆ่าเวลาอันทุกข์ ทรมาณของเขา ด้วยการร้องเพลงเป็นจังหวะ ขุดดิน เหวี่ยงจอบเป็นจังหวะไปพร้อมๆกัน

นี่แหละครับ คือที่ที่มาของดนตรีบลูส์ ซึ่งจะมีลักษณะเด่นคือการขับร้องและเล่นโดยใช้ Pentatonic Scale คือว่ามันจะมีเสียงโน๊ตหลักๆอยู่เพียงห้าเสียงนั่นเอง สมมุติว่าท่านใช้คอร์ด C7 เป็นจุดเริ่มของเพลง ท่านจะพบว่าเสียงใน Pentatonic Scale นั้นจะมีโน๊ตตัว C, D#, F, G, A#, และ C สูง แต่แน่นอนว่ามันไม่ได้จํากัดอยู่เพียงแค่นั้น ในเรื่องของจังหวะนั้น ดนตรีบลูส์ จะมีจังหวะที่หลากหลายและจับฉ่ายที่สุด ตั้งแต่ ช้าลากดิน จนถึงแบบ ช้างตกมัน ไอ้ที่เร็วแบบ"ช้างตกมัน" นี่แหละครับที่เป็นจุดเริ่มต้นของคนตรี Rock

ศิลปินที่เล่นบลูส์แบบ "ช้างตกมัน" ในช่วงแรกๆของการบันทึกเสียง (1920s-1950s) ที่หาฟังกันได้ก็จะมี Robert Johnson, Muddy Waters, Mead "Lux" Lewis, Chuck Berry, Little Richard, และ Bo Diddley

ศิลปินเหล่านี้ล้วนแต่เป็นคนผิวดําทั้งนั้น ทําให้สังคมอเมริกัน (ซึ่งเป็นสังคมเหยียดผิวในขณะนั้น) รับไม่ได้ และจําต้องพยายามหานักร้องฝรั่งอย่างเช่น Elvis Presley, Pat Boone, Jerry Lee Lewis, Bill Haley มาเสียบมาร้องแทน แม้ว่าเพลงที่นํามาขับร้องนั้น จะเป็นเพลงของศิลปินผิวดําแทบทุกเพลงก็ตาม (คงเหมือนกับบ้านเราในช่วงหนึ่ง ที่จะต้องมีนักร้องเป็น"ลูกครึ่ง" ละกระมัง)

ในช่วง 1950s นั้น แม้ว่าวัยรุ่นมะกันจะรับศิลปินผิวดําไม่ได้ก็ตาม เด็กหนุ่มวัยรุ่นที่อยู่อีกฝั่งของมหาสมุทรแอ็ดแลนติก กําลังบ้าคลั่งกับศิลปินผิวดําเป็นจํานวนมาก จนทําให้เกาะอังกฤษนั้นกลายเป็นจุดกําเนิดของวง Rock กันหลายวง และที่ออกจะมีชื่อเอามากในช่วง 1960s ก็คือ The Beatles และ The Rolling Stones

วงคนตรีทั้งสองนี้แตกต่างจากนักร้องอย่าง Elvis Presley หรือ Pat Boone ตรงที่ พวกเขาสามารถแต่งเพลงเองได้ และทําให้เกิดกระแสใหม่หลายอย่างในเพลง Rock อย่างเช่นการใช้กีต้าร์ "เสียงแตก"(Distortion) เพื่อสร้างนํ้าหนักและตอบสนองวิญญาณกบฎ ของเด็กรุ่นใหม่ The Beatles และ The Rolling Stones สามารถเข้าถึงวิญญาณที่แท้จริง ของเด็กวัยรุ่นในสหรัฐอเมริกาได้ดีกว่าศิลปินมะกันอย่าง Elvis Presley ซึ่งเลือกที่จะอยู่ฝ่ายรัฐบาล (อย่างการยอมเข้าเกณฑ์ทหาร) นอกจากนั้นแล้วเพลงของ The Beatles สมัยปลายปี 1960s ยังมีเรื่องกบฎการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องเสียด้วย อย่างเช่นเพลง "Back in the USSR" และ "Revolution" ซึ่งทําให้ John Birch Society ในสหรัฐต้องออกมาประกาศว่าวง The Beatles นั้นเป็นวง "คอมมิวนิส" ไม่เหมาะสมสําหรับเยาวชน (ฮา)

พอถึงยุค 1970s กระแสของวง Rock จากเกาะอังกฤษก็ยิ่งกําเริบหนักโดยมีวงใหม่ๆอย่าง The Who และ Led Zeppelin มาร่วมแจมด้วยทําให้ตลาดบันเทิงในสหรัฐเต็มไปด้วยศิลปิน Rock จากอังกฤษ จนเรียกได้ว่าเป็นความพ่ายแพ้อย่างใหญ่หลวงของวงการเพลงสหรัฐในการตอบสนอง ความต้องการของคนรุ่นใหม่ เหมือนกับจะเป็นข้อเตือนให้เห็นว่า การเหยียดผิว ไม่ยอมรับศิลปินผิวดําของตน หรือการ "White Wash" ศิลปินดังกล่าวโดยใช้ Elvis หรือ Pat Boon นั้นเป็นสิ่งที่ไม่ยั่งยืน และทําให้เกิดช่องว่างระหว่างคนรุ่นใหม่ กับวงการบันเทิง

เรื่องสุดท้ายที่ขาดไม่ได้จากประวัติของดนตรี Rock ก็คือเรื่องเซ็กซ์ ผมยังจําได้ถึงเมื่อคราวเริ่มแตกหนุ่ม ได้ไปชม concert ของศิลปินสาวท่านหนึ่ง

สะโพกรุ่นยักษ์ของเธอ ส่ายสะบัดไปตามจังหวะอันหนักหน่วง บรรเลงด้วยตัณหา อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ไม่หยุดไม่ยั้ง เพลงแล้วเพลงเล่า จนผู้ชมนับพัน ต้องระเบิดขึ้นด้วยอารมณ์ ร้อนเดือด ราวกับฝูงสัตว์ที่ถูกเผาด้วยคําสาป ของเทพยดากาลี.....ไอ้โต่งเพื่อนซี้ มันต้องถึงกับนํ้าแตกแยกทางไปทีเดียว

ทําไมเพลง Rock จึงมีเรื่องเซ็กซ์เจอปนอยู่มากนั้น เราคงต้องไม่ลืมว่า จริงๆแล้วเพลง Rock ก็คือเพลง Blues แบบ "ช้างตกมัน" นั่นเอง ในเพลงบลูส์นั้นเรื่องเซ็กซ์มักจะเป็นเรื่องที่ขับร้องกันได้เป็นของธรรมดา เพราะมันเป็นคนตรีของชนชั้นล่าง แล้วชนชั้นล่างที่เป็นทาสหรือคนจนในสังคมมะกัน เขาจะมีทางเลือกหรือทางออกในแง่บันเทิง อะไรได้เล่า นอกจากการเขย่าเคล้าคลึงกันบนเตียง อย่างที่เคยมีคํากล่าวไว้ว่า
"Bed is a poor man's grand opera"

ผิดไหมคะที่ขโมยสัญญาณของเพื่อนบ้านมาใช้

พี่เกลคะ

ดิฉันมี wireless card ในคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค และสามารถรับสัญญาณ internet ได้ในบ้านของดิฉัน ก็เลยใช้ internet ได้ฟรี โดยไม่ต้องจ่ายค่า internet เลย คาดว่าสัญญาณ internet นั้นมาจากของเพื่อนบ้านค่ะ ผิดไหมคะที่จะขโมยสัญญาณของเพื่อนบ้านมาใช้

อ้วน, North Carolina


--------------------------------------------------------------------------------

คุณอ้วน, North Carolinaคะ

ประเด็นนี้มองได้สองมุมค่ะ เพื่อนบ้านหรือบริษัท internet provider อาจฟ้องคุณได้ในข้อหาขโมยสัญญาณ ในทางกลับกันคุณก็สามารถฟ้องเพื่อนบ้านได้ในข้อหาก่อความรำคาญ และอันตรายต่อสุขภาพของคุณด้วยการวาง antenna อยู่ใกล้กำแพงของคุณเกินไป เพราะตามกฏหมายอเมริกันนั้น คุณมีสิทธิที่จะถูกปกป้องจากการกระทำของเพื่อนบ้านที่จะทำให้เกิด “การรบกวน” (nuisances) ในรูปแบบต่างๆ เช่นปลูกต้นไม้บังแสง เปิดเพลงเสียงดัง มีขยะที่ส่งกลิ่นเน่าเหม็น หรือแม้แต่ส่งสัญญาณ wireless ที่อาจจะเป็นอันตรายต่อร่างกายของคุณ คงเคยได้ยินว่ายังไม่มีรายงานที่เป็นทางการฉบับใดที่ยืนยันว่าสัญญาณ wireless นั้นไม่เป็นอันตรายต่อสมอง หรือระบบสืบพันธุ์ของมนุษย์


ผิดในแง่กฏหมายหรือเปล่า…เพื่อนบ้านของคุณเขามีวิธีป้องกันไม่ให้คนอื่นขโมยสัญญาณใช้ได้ แต่เขาไม่ทำเองนี่คะ


ผิดในแง่ศีลธรรมไหมที่คุณเอาสัญญาณที่มีอยู่ในอากาศในห้องของคุณมาใช้ เกลว่าไม่ผิด อย่าไปเรียกว่า “ขโมย” เลยค่ะ สัญญาณมันมีอยู่แล้วในอากาศ แล้วห้องของคุณบังเอิญอยู่ในตำแหน่งที่มีสัญญาณชัดพอที่จะเอามาใช้ browse internet ไ้ด้ฟรีๆ


แต่ถ้าคุณอ้วนยังรู้สึกตะขิดตะขวงใจอยู่ก็บอกเพื่อนบ้านของคุณก็ได้ค่ะ แล้วช่วยกันแชร์ค่า internet ยิ่งหาเครื่องขยายสัญญาณมารวมกันหลายๆ บ้านได้ยิ่งดี ก่อให้เกิดความร่วมมือกันในชุมชนเพื่อต่อต้านการค้ากำไรเกินควรของบริษัท internet provider ค่ะ


ในอเมริกานี่เขาให้ความสำคัญกับสมบัติส่วนบุคคลมาก ทัศนคติแบบ “นี่ของฉัน นั่นของเธอ” นั้นบางครั้งก็ทำให้คนเกิดการประจันหน้ากันและไม่เป็นมิตรต่อกัน เกิดการฟ้องร้องกันตลอดเวลา คนที่ได้ประโยชน์จากการทะเลาะกันของคนอื่นก็คือทนายความนั่นไง อันที่จริงแล้วสังคมน่าจะเกิดความร่วมมือร่วมใจกันมากกว่าเมื่อคนให้ความสำคัญกับสมบัติส่วนบุคคลน้อยลง และให้ความสำคัญกับการแบ่งปันกันใช้มากขึ้น ดูอย่างเมืองไทยสิคะ เพื่อนกันก็ปั๊ม cd แบ่งกันฟังเป็นว่าเล่นเลย ทำให้เกิดความสนุกสนานและกระชับความเป็นมิตรให้แน่นแฟ้นขึ้น แต่รัฐบาลของเราต้องเอาใจอเมริกา และรับความคิดแบบอเมริกันมาโดยไม่วิเคราะห์ถึงความเหมาะสมกับสภาพสังคมไทย เอะอะก็จะบังคับใช้กฏหมายลิขสิทธิ์ตามอย่างมะกันเป๊ะๆ อันนี้พี่เกลไม่สนับสนุนค่ะ

อุ๊ย…เผลอคุยเลยเถิดไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ สรุปแล้วก็ใช้สัญญาณฟรีต่อไปเถอะค่ะ แต่ถ้าเซ็กซ์กับแฟนคุณเริ่มไม่ดีขึ้นมา ระวังอาจเป็นเพราะสัญญาณ wireless ก็ได้ค่ะ

เกล

ตายเป็นตาย รัฐบาลจะไม่ยอมถอย

พ.ต.ท.ทักษิณชี้ขาด:

“ตายเป็นตายรัฐบาลจะไม่ยอมถอยเด็ดขาด”

มุ่งหน้าแปรรูปรัฐวิสาหกิจ
ทั่วประเทศแน่นอน


การแปรรูป กฟผ.:บทเรียนจาก ปตท.

โดย ประสาท มีแต้ม

๑. ความเป็นมา

เมื่อเดือนมีนาคม ๒๕๔๗ นายกทักษิณฯได้กล่าวอย่างเกรี้ยวกราดผ่านรายการวิทยุประจำเช้าวันเสาร์ในประ เด็นการแปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซึ่งในขณะนั้นได้เกิดกระแสการคัดค้านจากทั่วประเทศว่า “ตายเป็นตาย รัฐบาลจะไม่ยอมถอยเด็ดขาด”ด้วยเหตุผล ๒ ด้าน คือ

ด้านที่เป็นเหตุผลหลักที่ต้องแปรรูปมี ๓ ข้อ คือ (๑) เพื่อความมีประสิทธิภาพและให้เกิดการแข่งขัน (๒) เพื่อให้สามารถตรวจสอบได้ (๓) เพื่อให้เกิดการระดมทุนในการลงทุนเพื่อสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ต่อไปได้ โดยรัฐบาลจะไม่ต้องค้ำประกันเงินกู้ ให้ กฟผ. หรือไม่ต้องการเพิ่มหนี้สาธารณะให้กับประเทศอีก

สำหรับเหตุผลของด้านที่ไม่ยอมถอยก็เพราะกลัวว่าจะเสียความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนต่างประเทศ หรือเกรงว่าหุ้นจะร่วงอย่างมโหฬารนั่นเอง

แต่ในที่สุดรัฐบาลทักษิณก็ต้องยอมถอยเพราะเกรงจะเสียคะแนนนิยมในช่วงการเลือกตั้งใหญ่เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๔๘

เป็นที่น่าสังเกตว่าในช่วงการรณรงค์หาเสียงครั้งนี้ พรรคไทยรักไทยก็ไม่ได้พูดถึงประเด็นนี้เพื่อให้ประชาชนผู้ออกเสียงได้มีการถ กเถียงและใช้ประกอบการตัดสินใจกันเลย

ที่หนักหนากว่านั้น หัวหน้าพรรคไทยรักไทยก็ไม่ยอมขึ้นเวทีเพื่อถกนโยบายกับพรรคอื่นเหมือนเช่นการเลือกตั้งใหญ่ที่ผ่านๆมา

ตรงกันข้ามกับการเมืองในประเทศญี่ปุ่น ที่นายกฯโคอิซึมิใช้ประเด็นการขายกิจการไปรษณีย์เป็นประเด็นรณรงค์

หลังจากชนะการเลือกตั้งอย่างท่วมท้นเมื่อต้นปีนี้ รัฐบาลทักษิณกลับเตรียมนำรัฐวิสาหกิจที่ถือเป็นเส้นเลือดใหญ่ของประชาชน อย่างเช่น กฟผ. แต่งตัวแปรรูปเป็นบริษัทมหาชนจำกัดอย่างเงียบเชียบ เพื่อจะเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ในเร็วๆนี้ พร้อมกับการใช้เล่ห์เหลี่ยมสารพัด เช่น ตอบแทนผลประโยชน์ก้อนโตให้กับพนักงานที่เคยคัดค้านอย่างยาวนาน ขณะเดียวกันพนักงานที่ยืนหยัดคัดค้านก็จะถูกกลั่นแกล้งต่างๆนานาจากผู้บริหาร

บทความนี้จะนำเสนอข้อมูลที่เกี่ยวกับเหตุผลในการแปรรูปว่าข้ออ้างของนายกฯทั้ง ๓ ข้อนั้นว่าแท้ที่จริงแล้วมีเหตุผลหรือไม่ นอกจากนี้จะนำเสนอบทเรียนจากการแปรรูป ปตท.มาประกอบด้วย

๒. สถานภาพของ กฟผ.

กฟผ.(อายุองค์กรประมาณ ๓๕ ปี) เป็นกิจการของรัฐหรือของประชาชนเพื่อจัดหาพลังงานไฟฟ้าให้กับประชาชน จากนั้นก็ส่งพลังงานไฟฟ้าต่อให้กับการไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเพ ื่อขายต่อให้กับประชาชน ทรัพย์สินของ กฟผ. ไม่ว่าจะเป็นที่ดินบริเวณที่สายไฟฟ้าผ่าน หรือเขื่อนต่างๆ ล้วนได้มาจากการเวนคืนหรือรอนสิทธิ์มาจากประชาชน

จากรายงานประจำปี ๒๕๔๗ กฟผ. มีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น ๓.๗ แสนล้านบาท(ขอใช้ตัวเลขเพื่อให้เข้าใจกันง่ายง่ายๆ) มีรายได้รวมในปีนั้นเท่ากับ ๒.๓ แสนล้านบาท โดยมีกำไรขั้นต้น ๔๒,๐๐๐ ล้านบาท และกำไรสุทธิ ๓ หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็น ๑๘.๒ % และ ๑๒.๙ % ของรายได้ ตามลำดับ

กิจการที่มีขนาดใหญ่และทำกำไรสุทธิอย่างงามอย่างต่อเนื่องมาตลอดจะไม่มีปัญญาลงทุนเองเชียวหรือ และถ้าคิดจะขอกู้ ด้วยหลักทรัพย์มากมายและมีลักษณะผูกขาดอยู่ในตัวเช่นนี้ เจ้าของเงินจะกลัวอะไร หรือถ้าคิดจะออกพันธบัตร หรือตั้ง “กองทุน” ก็คงมีคนแย่งกันซื้อ

ในด้านการขยายการลงทุนเพิ่มเติม จากแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าหรือ PDP( 2547-2558) กฟผ. ที่เคยวางไว้ว่าจะสร้างโรงไฟฟ้าใหม่เพิ่มเติมปีละ ๑,๘๖๐ เมกกะวัตต์ ก็กำลังปรับลดลงมาที่ระดับ ๑,๐๐๐เมกกะวัตต์ต่อปี ทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มการขยายตัวลดลง จากเดิมที่คาดการปีนี้จะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 4.5-5.5% เหลือเพียง 3.5-4.3% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(คำสัมภาษณ์ของนายไกรสีห์ กรรณสูตร จากผู้จัดการรายวัน- ๒๐ ตุลาคม ๔๘)

หากประเมินค่าก่อสร้างอย่างคร่าวๆ ก็พบว่ากำไรสุทธิที่ กฟผ.ได้รับก็พอๆกับต้นทุนค่าสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ นั่นคือไม่ต้องกู้เพิ่มก็สามารถสร้างได้

ในด้านความโปร่งใสหรือการตรวจสอบได้ ระบบระเบียบการเงินการคลังของรัฐวิสาหกิจทั้งหลายก็เข้มงวดพอใช้ได้ไม่ใช่หรือ

อย่างไรก็ตาม หากนักการเมืองคิดจะโกงกิน พวกเขาก็มีวิธีการที่แยบยลจนยากที่ “ระเบียบการเงิน” ใดๆ จะจับได้(แต่สังคมจับได้)

ในด้านการแข่งขัน แม้ กฟผ.กำลังจะเข้าตลาดหลักทรัพย์อยู่แล้ว แต่ก็พยายามหามาตรการเพื่อให้ กฟผ. มีส่วนแบ่งการตลาดถึง ๕๐% นับว่าเป็นมาตรการที่ไม่เป็นธรรมกับเอกชนรายอื่นอยู่แล้ว

อีกอย่างหนึ่ง ระบบสายส่งซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการส่งไฟฟ้าและเคยเป็นสมบัติของประชาชานมาก ่อน แทนที่จะถูกกันไว้เป็นสมบัติของส่วนรวม บริษัท กฟผ. จำกัด(มหาชน) กลับยึดเอาไปด้วย

เมื่อสายส่งและเสาไฟฟ้าเป็นของ กฟผ. แต่เพียงผู้เดียว ย่อมเป็นการกีดกันผู้ผลิตไฟฟ้ารายอื่นๆไปในตัว กล่าวเปรียบเทียบอย่างง่ายๆ ก็คือว่า ระบบสายส่งไฟฟ้าเป็นถนน ผู้ผลิตไฟฟ้าเหมือนรถยนต์ หากถนนไม่ได้เป็นสมบัติของสาธารณะแล้วอะไรจะเกิดขึ้น

ดังนั้นเหตุผลในการแปรรูป กฟผ. ที่ท่านนายกฯกล่าวล้วนไม่น่าเชื่อถือทั้ง ๓ ข้อและทั้งสองด้าน(รวมด้านที่ไม่ยอมถอย)

๓. ผลประโยชน์ ๔ ชั้นของกลุ่มทุน

ในกระบวนการขายรัฐวิสาหกิจต้องมีการว่าจ้างที่ปรึกษาทางการเงิน ซึ่งปกติมักจะคิดค่าปรึกษา (advisory fee) ประมาณ ๑% ของมูลค่าทรัพย์สินของรัฐวิสาหกิจที่จะขาย และอีกไม่เกิน ๓% เป็นค่าประกันการขายหุ้น(underwriting fee) กฟผ. มีทรัพย์ถึง ๓.๗ แสนล้านบาท เงินก้อนนี้จะโตขนาดไหน นี่เป็นผลประโยชน์ชั้นที่หนึ่ง

จากบทเรียนในการแปรรูป ปตท. หุ้นเข้าตลาดในราคา ๓๕ บาทต่อหุ้น ปัจจุบันขึ้นไปอยู่ที่ ๒๓๐ บาท จำนวน ๒,๘๕๐ ล้านหุ้น ถ้าคิดว่ามีการซื้อขายกันเพียง ๒๕% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด เราสามารถคำนวณได้ว่าส่วนต่างของราคามีค่าถึงกว่า ๑.๓ แสนล้านบาท

นี่เป็นผลประโยชน์ขั้นที่สอง

แม้ท่านนายกฯทักษิณได้ประกาศเตือนในที่ประชุม ครม.ว่า ห้ามญาติพี่น้องของรัฐมนตรีเข้าไปซื้อ แต่ก็เป็นการยากที่จะห้ามคนขับรถของรัฐมนตรี

เพื่อนฝูงในแวดวง ปตท. เล่าให้ผมฟังว่า ตอนที่หุ้น ปตท.ขึ้นถึง ๔๕ บาท พนักงานของ ปตท.ก็รีบขายออกไปเยอะแล้ว เรื่องนี้พนักงาน กฟผ. โปรดระวัง แต่ก็คงจะป้องกันได้ยาก เพราะพนักงานระดับล่างๆ ก็เตรียมกู้สหกรณ์เพื่อมาซื้อหุ้น กฟผ. ถึงวันนั้นก็คงต้องมีการขายเพื่อลดหนี้

ไหนๆ ก็พูดถึงพนักงาน กฟผ. แล้ว ที่ทางรัฐบาลบอกว่าจะไม่มีการปลดพนักงานออกนั้น โปรดระวังให้ดี เพราะถ้าคิดจำนวนพนักงานต่อจำนวนเมกกะวัตต์ที่เรามีแล้ว พบว่า กฟผ.มีพนักงานสูงกว่าของประเทศญี่ปุ่นถึงเกือบ ๓ เท่า

ถึงรัฐบาลจะ “อมพระมาพูด” ว่าจะไม่ปลดพนักงานก็ต้องคิดให้ดี

สำหรับผลประโยชน์ชั้นที่สาม คือการส่งคนของตนเข้าไปเป็นคณะกรรมการประจำ รวมทั้งเป็นผู้บริหารด้วย ในกรณีของ ปตท. ซึ่งมีคณะกรรมการ ๑๕ คน ปรากฏว่ามีอยู่ ๓ ท่านเป็นผู้ใกล้ชิดเป็นพิเศษกับท่านนายกฯทักษิณ เช่น ปลัดกระทรวงยุติธรรม นายกสภามหาวิทยาลัยชินวัตร และที่ปรึกษานายกฯ เป็นต้น นอกจากนี้ระดับรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ของ ปตท.ก็มีนามสกุลเดียวกับท่านนายกฯ ด้วย

เมื่อกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่าง ปตท.กับ กฟผ. แล้ว จะพบสิ่งที่น่าสนใจ ๒ อย่าง คือ (๑) กรรมการของ ปตท.บางคนยังเป็นกรรมการของ ปตท. ด้วย เช่น คุณสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นต้น และ (๒) ประมาณ ๗๐% ของเชื้อเพลิงทั้งหมดที่ กฟผ. ใช้อยู่ต้องซื้อมาจาก ปตท. ในราคาที่แพงมากโดยเฉพาะค่าผ่านท่อก๊าซธรรมชาติ ส่งผลให้ทุก ๑๐๐ บาทที่คนไทยจ่ายค่ากระแสไฟฟ้าจะกลับเข้าสู่กระเป๋าของ ปตท.ถึง ๔๓ บาท

ผมเข้าใจว่า นี่คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้ กฟผ. ไม่ยอมผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เช่น กังหันลม ที่มีศักยภาพที่จะผลิตไฟฟ้าได้ถึงปีละ ๑ หมื่นล้านบาท หรือผลิตจากขี้หมู ขี้วัวที่มีมูลค่ากว่าปีละ ๑ พันล้านบาท นี่ยังไม่นับไฟฟ้าจากชีวมวล เช่น เศษไม้ ซึ่งในบ้านเรามีจำนวนมหาศาลและเป็นแหล่งเงินที่ชาวบ้านตามหัวไร่ปลายนาสามาร ถใช้เป็นตัวลดปัญหาความยากจนลงได้

สำหรับผลประโยชน์ชั้นที่สี่ คือระบบอินเตอร์เนตที่จะมากับสายส่งไฟฟ้าซึ่งสามารถเข้าถึงเกินกว่า ๙๘% ของพื้นที่ทั้งหมด เมื่อวันนั้นมาถึงผู้ประกอบการด้านคอมพิวเตอร์คงจะเข้ามาร่วมทุนด้วย

๔. บทเรียน(อีกอย่างหนึ่ง) จาก ปตท.

ท่านนายกฯทักษิณกล่าวว่า หุ้นของ กฟผ. จะนำออกมาขายเพียง ๓๐% เท่านั้น ที่เหลือยังคงเป็นของกระทรวงการคลังอยู่

เรื่องนี้ก็เป็นกลลวงอีกอย่างหนึ่ง จากรายงานของ ปตท. พบว่าในเดือนเมษายน ๒๕๔๖ กระทรวงการคลังถือหุ้น ๖๙.๒๘% แต่พอมาถึง กันยายน ๒๕๔๗ กลับลดลงเหลือเพียง ๕๒.๔๘% เท่านั้น

แปลเป็นไทยได้ว่า ขณะนี้กำไรสุทธิหลังหักภาษีของ ปตท. ในปี ๒๕๔๗ ซึ่งสูงถึง ๖๒,๖๖๖ ล้านบาท(หรือ ๑๒.๒% ของยอดขาย) แทนที่จะเป็นของประชาชนทั้งหมดก็ต้องตกเป็นของผู้ถือหุ้นไม่กี่คนถึงเกือบคร ึ่งหนึ่ง

คาดกันว่าในปี ๒๕๔๘ ปตท.จะมีกำไรสุทธิเกือบหนึ่งแสนล้านบาท ในขณะที่คนไทยทั้งประเทศต้องแบกรับจ่ายค่าเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นอย่างไม่เคยมี มาก่อน

ผมจะขอจบบทความนี้ด้วยการเปรียบเทียบค่าตอบแทนของกรรมการ(เบี้ยประชุมและโบน ัส) ของ ปตท.(ซึ่งแปรรูปไปแล้ว) และ กฟผ. (ซึ่งยังไม่แปรรูป) ในปีเดียวกันคือ ๒๕๔๗

พบว่า ของ กฟผ. มีจำนวน ๒.๖๙ ล้านบาท ในขณะที่ ปตท. มีจำนวน ๒๒.๙ ล้านบาท คิดเป็นกว่า ๘ เท่าตัว ส่วนเงินเดือนและโบนัสของผู้บริหาร ปตท. จำนวน ๘ คน รับไปเบาะๆ รวม ๖๐.๒ ล้านบาท

เรื่องราวทั้งหมดที่กล่าวมาแล้ว สามารถสรุปได้ง่ายๆว่าเป็นกระบวนการดังในการ์ตูนจากหนังสือ “ซื้อรัฐวิสาหกิจแถมประเทศไทย” โดย ดร. วุฒิพงษ์ เพรียบจริยวัฒน์ คือเป็นกระบวนการที่เรียกว่า “สามเหลี่ยมทรราชย์” ที่ผมนำเสนอไว้ตั้งแต่ต้น นั่นเอง

logos